บร็อก เลสเนอร์ ตัวปัญหาแห่งวงการมวยปล้ำ ผู้มีมีดค้ำคอตลอดเวลา

ในวงการมวยปล้ำ ชื่อของบร็อก เลสเนอร์ติดอยู่ในฐานะนักกีฬามวยปล้ำที่เก่งกาจที่สุดคนหนึ่งในยุค เขาได้รับฉายาว่า The Beast หรือเป็นอสูรร้ายบนสังเวียน และเคยขึ้นปะฉะดะกับนักสู้ระดับหัวแถวมามากมาย ทั้งเดอะ ร็อก, ดิ อันเดอร์เทคเกอร์, เคิร์ต แองเกิล, ทริปเปิ้ล เฮช แถมยังเอาอัดฮัลค์ โฮแกน ขวัญใจอเมริกันชนจนสลบคาเวทีมาแล้ว

เลสเนอร์คว้าสิทธิ์เป็นผู้ท้าชิงแชมป์โลกของ WWE และกลายเป็นแชมป์โลกสมัยแรกทันทีด้วยการคว่ำเดอะ ร็อกในปี 2002 สร้างสถิตินักมวยปล้ำอายุน้อยที่สุดที่ได้แชมป์โลกด้วยวัย 25 ปี ตอนนั้นเองที่ WWE ตั้งใจจะปั้นเลสเนอร์ให้เป็นสตาร์อันดับหนึ่งของวงการ พวกเขาวางแผนและวางหมากให้เลสเนอร์ก้าวขึ้นมาเป็นนักปล้ำที่เก่งที่สุดคนหนึ่ง เขียนสตอรี่ไลน์เพื่อผลักดันเขาชิงแชมป์โลกและครองแชมป์ไปหลาย ๆ สมัย แต่เลสเนอร์ไม่เดินตามเกม เขาเอาตัวเองไปหาเรื่องกับเหล่าขาใหญ่และรุ่นพี่ในวงการทั้งหลายอยู่เสมอ แถมยังหักหลังด้วยการลาออกจากสมาคมมวยปล้ำ โดยหันไปเอาดีทางศึกคนชนคนแทนจนโดยบอร์ดของ WWE สาปส่ง ที่สุดแล้วเลสเนอร์ก็พบว่าตัวเองล้มเหลวเมื่อเป็นได้แค่นักกีฬาตัวสำรองนั่งดูที่ข้างสนาม

ปี 2005 เลสเนอร์โบกมือลาวงการอเมริกันฟุตบอล และตอนนั้นก็ไม่มีพื้นที่ยืนใน WWE เหลืออยู่แล้ว เขาบินไปตามคำเชิญเพื่อลงแข่งมวยปล้ำที่ญี่ปุ่น ซึ่งที่นั่นกำลังมีการจัดตั้งวงการมวยปล้ำอาชีพ New Japan Pro Wrestling หรือ NJPW ขึ้น และต่อมาเขาก็ค้นพบเส้นทางสายใหม่ในการเป็นนักสู้ UFC ที่เขาปีนขึ้นไปถึงแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทได้อย่างรวดเร็วในปี 2008 ก่อนเลิกแข่งหลังลงสนามได้เพียง 8 ครั้งเท่านั้น ซึ่งผู้คร่ำหวอดในวงการ UFC บอกว่ามันเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เพราะมวยปล้ำต่างหากคือสิ่งที่ใช่ของเลสเนอร์

ที่ญี่ปุ่นและการแข่ง UFC ที่เองที่นำมาซึ่งหนึ่งในรอยสักอันโดดเด่นของเลสเนอร์ มันคือรูปมีดดาบที่ปลายแหลมของมันจี้คอหอยของเลสเนอร์อยู่เสมอ เลสเนอร์อธิบายถึงมันไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองชื่อ Death Clutch:My Story of Determination, Domination and Survival ที่วางขายในปี 2011

“ผมคิดว่าชีวิตตอนนั้นเหมือนใครเอามีดมาจ่อคอหอยอยู่ตลอดเวลา ผมเลยสักมันไว้เพราะไม่ต้องการลืมช่วงเวลาดังกล่าวว่าผมรู้สึกอย่างไร รอยสักบนอกมีความหมายกับผมมาก ในมุมอื่นมันก็ตลกดีเพราะช่วงชีวิตตอนนั้นมันไม่น่าจดจำสักนิด แต่ผมรู้ว่าผมใช้มันเพื่อผลักดันตัวเองได้”

หากจะให้เข้าใจรอยสักรูปดาบนี้ดี ต้องลองนึกภาพว่าชีวิตมันยากลำบากแค่ไหน? เลสเนอร์เดินทางไปญี่ปุ่นหลังเลิกเล่นอเมริกันฟุตบอล เรื่องจะกลับไปเข้าวงการก็เป็นไปไม่ได้ แต่เรื่องตลกร้ายคือใบอนุญาตในฐานะนักกีฬาของ WWE ของเลสเนอร์ก็ใช้ไม่ได้ เมื่อ NJPW ถูกวินซ์ แม็กมาฮอน ผู้ยิ่งใหญ่ของ WWE ขวางลำห้ามให้เลสเนอร์ขึ้นแข่ง เลสเนอร์กลายเป็นอริกับวงการมวยปล้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก หมดสิทธิ์ที่จะลงแข่งในรายการอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและโดยอ้อมกับ WWE มันทำให้เขาเจ็บปวด และแก้ปัญหาด้วยการเมาทุกคืน ก่อนจะสักรูปดาบจ่อคอหอยนี้ไว้เป็นตัวแทนความทรงจำ หลังผ่านช่วงเวลาดังกล่าวมาได้มันก็กลายเป็นความทรงจำที่ไม่อยากจำของเลสเนอร์

เลสเนอร์กลับมาสู่ WWE อีกครั้งในปี 2012 หลังวินซ์ แม็กมาฮอนยอมลดทิฐิ แค่เตรียมเปิดตัว ปรากฏว่าเลสเนอร์ไปอัดกับจอห์น ซีน่าจนเป็นเรื่องเป็นราว และนำไปสู่การสู้กันถึงสี่หนติด แต่คิดอีกมุมหนึ่งก็น่าจะเป็นการวางแผนไว้ของ WWE หลังจากที่ก่อนหน้านี้พยายามจัดฉากให้เลสเนอร์ไม่สำเร็จมาแล้ว

การเดินตามรอยที่ WWE วาดเส้นไว้ให้ ทำให้เลสเนอร์กลายเป็นหนึ่งในนักมวยปล้ำเจ้าปัญหา และถนัดระรานผู้คนไปทั่ว บุคคลิกของเลสเนอร์ถูกสร้างให้เป็นจอมทำลายตัวจริง ในการแข่งขันเขาคือนักสู้ที่พร้อมอัดคู่แข่งทุกรายที่ขวางหน้า โดยคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อที่สุดของบร็อก เลสเนอร์คือบิล โกลเบิร์ก ชายผู้คว่ำเขาในวันที่ประกาศแยกทางกับ WWE ในครั้งแรกนั่นเอง

ในแง่มุมความสวยงามของรอยสัก บรรดาศิลปินนักสักต่างลงความเห็นว่ามันเป็นรอยสักที่ดูไม่ได้เลย เช่นเดียวกับรูปหัวปีศาจที่กลางหลังและอีกสองชิ้นที่หัวไหล่ของเลสเนอร์ แต่สำหรับเลสเนอร์ มันมีความหมายในแง่ของวันเวลาแห่งชีวิต