อังเดร เกรย์ กับรอยสักรูปเหล่านักสิทธิพลเมือง

แผ่นหลังของนักกีฬาหนึ่งคนบอกเล่าเรื่องราวแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักสักอะไรบางอย่างเพื่อใช้แทนความทรงจำ หรือไม่ก็เพื่อต้องการระลึกถึงอะไรบางอย่าง แต่จะมีกี่คนที่สักในสิ่งที่บ่งบอกถึงอุดมการณ์ของตัวเอง

อังเดร เกรย์เกิดที่วูล์ฟแฮมตันในปี 1991 เติบโตขึ้นมาอย่างยากลำบากและสุ่มเสี่ยงที่จะมีชีวิตบนโลกด้านมืด เขาโชคดีที่มีพอจะมีฝีเท้าในเชิงลูกหนังและมีโอกาสได้ฝึกฝนในอะคาเดมี่ของวูล์ฟแฮมตันเมืองบ้านเกิด แต่พออายุ 13 ปี เขากลับโดนปล่อยตัวจากทีมอะคาเดมี่ แต่สิ่งนี้เกรย์ก็ไม่ได้แยแส เขาเลือกเดินทางไปทดสอบฝีเท้าที่ชรูว์บิวรี่ ทาวน์ ได้เข้าอะคาเดมี่และเซ็นสัญญาเป็นนักเตะในเวลาต่อมา

และไม่นานเขาก็โดนให้ออกจากทีมชรูว์บิวรี่ ซึ่งเช่นเคยเขายักไหล่ให้กับมันและออกหาทีมที่สนใจจ้างกองหน้าที่ยิงประตูเป็น ด้วยฝีเท้าที่ดีทำให้ต่อมาเกรย์ได้เล่นให้ทีมนอกลีกอย่างเทลฟอร์ด ยูไนเต็ดและฮิ้นซเลย์ ยูไนเต็ด ทว่าทุกที่เต็มไปด้วยความไร้จุดหมายสำหรับชีวิตนักเตะพาร์ทไทม์ของอังเดร เกรย์ เมื่อเขาพึงพอใจแค่การได้ลงเตะและมีคนจ่ายค่าแรงให้ไปวัน ๆ

แล้วจุดเปลี่ยนทางความคิดเกิดขึ้นเมื่อเขาหันมามองตัวเองในฐานะนักเตะอาชีพ มันกลายเป็นจังหวะที่เขาค้นพบว่าไม่มีอะไรสำคัญในชีวิตไปกว่าการได้เป็นนักเตะอาชีพเต็มตัว การเป็นนักฟุตบอลเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สร้างชีวิตของเขาให้ดีขึ้นไปได้ จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง การฝึก การลงแข่งก็กลายเป็นสิ่งที่มีความหมาย และเมื่อเขาเดินบนเส้นทางที่ถูก อังเดร เกย์ค่อย ๆ ไต่ระดับทีมขึ้นมาจากลูตัน ทาวน์ ทีมนอกลีกในปี 2012 เบรนด์ฟอร์ด ทีมระดับลีกวันในปี 2014 ต่อด้วยเบิร์นลี่ย์ ทีมบนเวทีแชมเปี้ยนชิพในปี 2015 เขาเข้าใกล้ปลายทางลีกสูงสุดของอังกฤษอีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น และมันเป็นเขาที่ช่วยให้เบิร์นลี่ย์เลื่อนชั้นขึ้นมาจริง ๆ ในฤดูกาลต่อมา ถึงตอนนี้เขากลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่มีชื่อเสียงพอตัว เมื่อมองย้อนไปว่าเริ่มต้นเรื่องราวอย่างไร้อนาคตที่ดีจนได้ย้ายมาอยู่กับวัตฟอร์ดที่เป็นสโมสรล่าสุด

ก่อนเริ่มฤดูกาล 2017 อังเดร เกรย์ นักฟุตบอลวัย 27 แห่งทีมวัตฟอร์ดมีเรื่องให้ฮือฮา เมื่อเขามีรอยสักใหม่เต็มแผ่นหลังมาอวด มันเป็นรูปที่เขาใช้เวลาแปดเกือบเก้าชั่วโมงในการทนให้ช่างบรรจงวาดสิ่งที่เขายกย่องลงไป เรื่องราวของคนและกลุ่มคนที่เป็นนักต่อสู้เรียกร้องสิทธิพลเมืองแอฟริกัน-อเมริกันที่มีชื่อเสียงจำนวนสิบคนซึ่งถูกยกย่องไปทั่วโลก อาทิ เนลสัน เมนเดลล่า ประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้, มูฮัมหมัด อาลี ยอดนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวท, โรซ่า ปาร์กเกอร์ ผู้ไม่ยอมถูกย้ายที่นั่งบนเครื่องบินเพียงเพื่อให้คนผิวขาวได้ที่นั่งเธอไป, บ็อบ มาร์เล่ย์ ราชาเพลงเร็กเก้ชาวจาไมก้า หรือมาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์ นักพูดและนักเรียกร้องความยุติธรรมให้คนผิวสีชาวอเมริกัน ตัวบุคคลและเรื่องราวถูกนำภาพมาจัดวางไว้บนแผ่นหลังของนักเตะชาวเมืองผู้ดีรายนี้

“การรณรงค์เคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมืองเป็นบางอย่างที่ผมสนใจมากที่สุด” เกรย์เริ่มต้นเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมันหลังถูกไล่ตามสัมภาษณ์แทบในทันทีที่เขาเผยภาพออกมา เกรย์เล่าว่ามันเริ่มต้นเมื่อสามปีที่แล้วตอนเขาอายุ 23 ปี เขาได้มีโอกาสอ่านเรื่องราวเหล่านี้และเห็นผ่านตาทางทีวี พอเริ่มต้นตามหาอ่านเรื่องราวของหนึ่งคน มันก็นำไปสู่อีกคนและอีกคน

ในบรรดาคนดังที่อยู่บนหลัง อังเดร เกรย์เลือกมาร์คัส การ์วีย์เป็นที่สุดของความยกย่อง ชายผู้เป็นกลจักรสำคัญของการต่อสู้ปฏิวัติเพื่อทวงคืนอิสรภาพของทาสผิวดำและแรงงานอพยพทั้งหลายบนแผ่นดินจาไมก้า รวมไปถึงทุกพื้นที่ทั่วโลก การ์วีย์เติบโตมาด้วยการเห็นทุกข์ยากของคนนิโกรและแรงงานอพยพที่ถูกปกครองแบบไม่เป็นธรรมจากนายจ้างชาวยุโรป

หลังมีโอกาสได้ทำงานและเดินทางไปทั่วทั้งในอเมริกาใต้ อังกฤษและอเมริกา อังเดร การ์วีย์มีโอกาสเลือกชีวิตที่ยืนฝั่งเดียวกันกับคนผิวขาว แต่การได้พบปะคนดำมากมายที่มีแนวคิดเดียวกันคือการคืนความเท่าเทียมกันของมนุษย์จากคนขาวสู่คนดำทั้งหลาย สุดท้ายเขาตัดสินใจเลือกที่จะอยู่ข้างคนผิวดำเหมือนกัน ทำให้ต่อมาเขาได้ก่อตั้งสองสิ่งที่สำคัญมากในการใช้เป็นเครื่องมือดำเนินการสู่เป้าหมายเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียม นั่นคือสมาคม UNIA (Universal Negro Improvement Association) ซึ่งมีแนวคิดพาคนดำกลับสู่แอฟริกาถิ่นฐานบ้านเกิด และสองคือการก่อตั้งหนังสือพิมพ์นิโกร เวิร์ลด์ที่ใช้เป็นกระบอกเสียงสำหรับคนดำ คนแอฟริกันและแรงงานอพยพทั้งหมาย สุดท้ายแม้จะไม่สามารถทำได้สำเร็จ แต่มาร์วีย์ก็สามารถเพาะเมล็ดพันธุ์ในการเรียกร้องสิทธิของชาวผิวดำให้เป็นอุดมการณ์และแนวทางของอีกหลายสิบล้านคน

ตลอดช่วงซัมเมอร์ของปี 2017 ความสนใจทั้งหมดของอังเดร เกรย์มุ่งไปที่การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการปฏิวัติเรียกร้องสิทธิพลเมืองมากกว่าเรื่องย้ายทีมเสียอีก เขาอ่านหนังสือจำนวนมาก ดูสารคดีเกี่ยวกับคนเหล่านี้ แถมยังเดินทางไปเยือนพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ต่าง ๆ มันซึมซับและกลายเป็นส่วนสำคัญในการมองชีวิตของเขามากขึ้น