Gabriel Jesus กับรอยสักแห่งความทรงจำ

ทุกวันนี้นักฟุตบอลกับรอยสักกลายเป็นของคู่กันไปเสียแล้ว นักเตะชื่อดังหลายต่อหลายคนเลือกใช้ศิลปะบนเรือนร่างเพื่อแสดงออกถึงรสนิยมของตนเอง นักเตะผู้รักครอบครัวมักแสดงออกด้วยการสักชื่อลูกหรือไม่ก็ภรรยา นักเตะที่เคร่งศาสนาก็มักจะเลือกสัญลักษณ์เกี่ยวกับคำสอนที่ตัวเองนับถือมาประดับร่างกาย และอีกไม่น้อยที่เลือกสักลวดลายกราฟิกเพื่อสนองอารมณ์ศิลปิน แต่สำหรับ “กาเบรียล เฆซุส” หนึ่งในนักเตะยุคใหม่ที่ชื่นชอบการสัก ลวดลายที่เลือกประทับลงบนร่างกายล้วนเป็นความทรงจำที่เขาต้องการให้ติดตัวไปตลอดกาล ซึ่งนี่คือที่มาของรอยสักอันแสดงถึงตัวตนของนักเตะแซมบ้ารายนี้

รอยสัก JD. Peri

เฆซุส เกิดและโตที่เมือง Jardim Peri ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเซา เปาโล ย่านที่เขาอาศัยอยู่ถือเป็นชุมชนแออัดที่หนาแน่นไปด้วยตึกอาคารบ้านเรือน แถมยังเต็มไปด้วยอบายมุข ยาเสพติด และอาชญากรรม แต่เด็กน้อยเฆซุสก็ก้าวข้ามสิ่งยั่วยุเหล่านั้นมาได้ด้วยการเล่นฟุตบอล

เฆซุสใช้เวลาในวัยเด็กส่วนใหญ่อยู่กับการเล่นฟุตบอลข้างถนนกับเพื่อน ๆ เขาไม่เคยกลัวการเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่โตกว่า และยังเป็นคนออกหน้าเสมอเมื่อการเล่นฟุตบอลสร้างปัญหาให้กับเฟอร์นิเจอร์ของเพื่อนบ้าน อันเนื่องมาจากความคับแคบของสนาม ต่อมาเฆซุสได้เป็นส่วนหนึ่งในทีมเยาวชนของ Pequeninos do Meio Ambiente สโมสรฟุตบอลท้องถิ่นเมื่ออายุ 8 ขวบ ก่อนจะก้าวเข้าสู่ทีมเยาวชนของพัลไมรัส สโมสรชั้นนำของบราซิล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แฟน ๆ VWIN ได้รู้จักกับเขา จนกระทั่งได้ร่วมทีมระดับโลกอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในที่สุด ภายหลังการเซ็นสัญญากับทีมเรือใบสีฟ้า เขาเดินทางกลับไปยังสโมสรแรกของเขาพร้อมกับรองเท้าสตั๊ด 250 คู่ เพื่อบริจาคให้กับเด็ก ๆ โดยหวังว่าพวกเด็กจะใช้มันก้าวตามความฝันและประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับเขา

เฆซุสเลือกสักเกี่ยวกับเมือง Peri ไว้ที่แขนขวาด้านใน ด้วยภาพเด็กน้อยสวมหมวกรูปธงชาติบราซิลยืนหันหลังมองไปยังตึกสูง พร้อมข้อความว่า “JD. Peri” เพื่อระลึกถึงต้นกำเนิดของเขา โดยเขามักบอกกับคนอื่นเสมอว่ามาจากเมือง Peri รอยสักนี้จึงเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าถึงแม้เขาจะจาก Peri มา แต่ Peri จะไม่มีวันจากเขาไปไหน

รอยสัก Vera, My Mother

เวร่า แม่ของเฆซุสถือเป็นบุคคลที่มีความสำคัญที่สุดในชีวิตของศูนย์หน้าบาซิเลี่ยน เนื่องจากพ่อได้ทิ้งแม่ไปตั้งแต่เขายังไม่คลอดและเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน แต่ด้วยการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากผู้เป็นแม่ ทำให้เฆซุสรอดพ้นจากสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้ายมาได้ มีเพียงน้ำอัดลมเท่านั้นที่เขาหนีไม่พ้น

เฆซุสสนิทกับแม่ของเขามาก โดยทั้งคู่โทรศัพท์หากันเป็นประจำ ซึ่งเรื่องที่พูดคุยกันก็หนีไม่พ้นเรื่องฟุตบอล เฆซุสบอกว่าแม่ของเขาเข้าใจเกมฟุตบอลเป็นอย่างดี แถมยังบ่นถึงความผิดพลาดในสนามของเขาอยู่เสมอ ทำให้เมื่อยิงประตูได้เขาจึงแสดงท่าดีใจด้วยการชูมือเป็นรูปโทรศัพท์เพื่อสื่อสารไปถึงแม่ของเขาที่ชมการแข่งขันอยู่ หลังจากนั้นท่าดีใจนี้ก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเขา และมีชื่อเรียกว่า “Alo Mae” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “สวัสดีครับแม่”

เฆซุสสักรูปใบหน้าแม่ไว้ที่บริเวณหัวไหล่ซ้าย ก่อนจะสักข้อความ Alo Mae พร้อมรูปมือทำสัญลักษณ์โทรศัพท์ในเวลาต่อมา เพื่อระลึกถึงผู้หญิงที่คอยให้การสนับสนุนเขามาตลอดชีวิต

รอยสัก Tininho

ตินินโญ่ เป็นทั้งเพื่อนร่วมทีมและเพื่อนที่ดีที่สุดของเฆซุส เมื่อสมัยที่ยังเล่นให้กับทีมเยาวชนของพัลไมรัส โดยตินินโญ่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่ออายุ 16 ปี เฆซุสเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะทำใจ แต่เขาก็มั่นใจว่าพระเจ้าจะพาเพื่อนของเขาไปยังสถานที่ที่ดี

เฆซุสเลือกสักรูปใบหน้าตินินโญ่ตอนใส่แว่นบริเวณต้นขาขวา พร้อมข้อความที่ระลึกถึงเพื่อนผู้จากไป “นายจะเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของฉันตลอดไป”

2 นักฟุตบอลดังชื่อก้องโลกที่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

“กีฬาฟุตบอล” เป็นกีฬาสากลที่แทบทุกประเทศทั่วโลกรู้จักและให้ความนิยมชื่นชอบในการเล่นเป็นอย่างมาก มักนำมาเป็นกีฬาสำหรับการแข่งขันกันระหว่างโรงเรียน ชุมชน องค์กร สถาบันทั้งในระดับประเทศ ภาคพื้นทวีปและระดับโลก ซึ่งก็มีนักฟุตบอลอาชีพชื่อดังมากมายที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันในระดับโลก ที่ใช้ความสามารถในการเล่นฟุตบอลของพวกเขาทำมาหาเลี้ยงชีพ และสามารถพลิกชีวิตของทั้งตัวพวกเขาเองและครอบครัวให้กลายมาเป็นคนที่มีความร่ำรวยมั่งคั่ง ทั้ง ๆ ที่ชีวิตเริ่มต้นจากจุดที่อาจจะเรียกว่าจากศูนย์เลยก็ว่าได้ เราไปรู้จักกับ 2 นักเตะฟุตบอลที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก ที่เบื้องหลังกว่าจะมาเป็นนักเตะที่เป็นที่รู้จักนั้น พวกเขาต้องผ่านอะไรกันมาบ้างกันเลยดีกว่า

1.เริ่มกันที่ ลิโอเนล อันเดรส เมสซิ กูซิตินิ นักเตะตัวเล็กพริกขี้หนูที่มีฝีเท้าที่น่ากลัวอย่างที่ใคร ๆ หลายคนทั่วโลกเรียกเขาว่า “เจ้าหนูเมสซิ” โดยเมสซิเป็นนักบอลคนหนึ่งจากประเทศอาร์เจนตินาที่เป็นขวัญใจแฟนบอลจำนวนมากบนเว็บ VWIN แถมเขายังได้รับสัญชาติจากประเทศสเปนอีกด้วย เขาเป็นนักบอลที่มีความสามารถสูงมาก ๆ ระดับโลกคนหนึ่งในยุคของเขา แต่ชีวิตวัยเด็กของเขาก็ไม่ง่ายดายเท่าไหร่นัก เมสซิเป็นเด็กที่ชื่นชอบการเล่นฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจถึงแม้ว่าเขาจะตัวเล็กกว่าเพื่อน ๆ ในทีมคนอื่น ๆ ที่เล่นด้วยกัน แต่ด้วยความที่เขาอาศัยฝีเท้าที่รวดเร็ว ประกอบกับความคล่องตัวที่มีก็ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่มีความโดดเด่นได้ไม่ยาก

แต่เนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ทำให้หมอสั่งห้ามไม่ให้เขาเล่นกีฬา หากไม่ได้รับการผ่าตัดเสียก่อน ซึ่งทางบ้านของเขามีฐานะที่ธรรมดามาก ๆ ค่อนไปทางยากจน จึงเป็นไปได้ยากที่ครอบครัวเขาจะสามารถหาเงินมารักษาตัวให้เขาได้ ความหวังของเขาริบหรี่ลงเต็มที แต่ก็ยังโชคดีที่ด้วยศักยภาพของเขาเองไปเข้าตาคนจากสโมสรบาร์เซโลน่าเข้า ทำให้เขาได้รับการยื่นข้อเสนอการออกค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดให้แลกกับการที่เขาต้องไปเป็นนักเตะอยู่ที่ประเทศสเปน และนี่เองคือจุดเริ่มต้นของเส้นทางนักเตะฟุตบอลอาชีพของเมสซิ

2. การ์โลส อัลเบร์โต มาร์ติเนซ เตเบซ เป็นอีกหนึ่งนักเตะชาวอาร์เจนติน่าที่ชีวิตวัยเด็กของเขาต้องฝ่าฟันกับสิ่งต่าง ๆ ชนิดที่เรียกว่าสาหัสสากรรจ์เลยทีเดียว โดยเตเบซเกิดในย่านสลัม ซึ่งเป็นชุมชนแออัดแห่งหนึ่งในประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งบ้านของเขารายล้อมไปด้วยเพื่อนบ้านที่ประกอบอาชีพผิดกฎหมาย ไล่ตั้งแต่ลักเล็กขโมยน้อย ค้าอาวุธเถื่อน ไปจนกระทั่งการค้ายาเสพติด ซึ่งตัวเขาเองก็เคยยอมรับว่าเคยติดยาอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ด้วยความที่คิดได้จึงเลิกยาในที่สุด นอกจากนี้ในวัยที่ยังไม่ถึงหนึ่งขวบเต็มดี เขาก็ต้องพบกับอุบัติเหตุจากน้ำร้อนลวกที่บริเวณคอไปจนถึงหน้าอก นั่นทำให้เกิดรอยแผลเป็นขนาดใหญ่บนร่างกายของเขา ซึ่งยังไม่นับรวมสภาพฟันที่บิดเบี้ยวผิดรูปซึ่งเกิดจากการชกต่อยเพื่อเอาชีวิตรอดอยู่ข้างถนน

แต่น่าแปลกที่ต่อให้เขาจะมีเงินทองมากมายที่หามาได้จากการเตะฟุตบอลอาชีพสักเพียงใด เขาก็ไม่เคยคิดที่จะไปศัลยกรรมบาดแผลเหล่านั้นเลย โดยเขามักจะให้เหตุผลว่าแผลเป็นดังกล่าวนั้นมันช่วยย้ำเตือนให้เขาระลึกได้ว่าเขามาจากจุดไหน อีกทั้งเขายังไม่เคยบอกเลยว่าชีวิตวัยเด็กเขาไม่ดี เขาคิดว่าสิ่งที่เขาเจอมานั้นมันดีที่สุดแล้ว มันดีพอที่จะผลักดันให้เขามาอยู่ ณ จุดสูงสุดของชีวิตเขา ด้วยการเคยได้สถิติเป็นนักบอลที่มีค่าตัวสูงสุดในโลก และเขาจะมาอยู่ ณ จุดที่ดีต่าง ๆ ในชีวิตไม่ได้เลยหากไม่รับโอกาสที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตเขา นั่นก็คือการได้เข้าร่วมเป็นนักเตะของทีมกับอคาเดมี่ โบค่า จูเนียร์ส นั่นเอง

จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 นักเตะที่กล่าวมานั้น แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ด้วยความสามารถ ความมุมานะอุตสาหะ ความรักดีของพวกเขา ก็ทำให้เขาทั้งคู่สามารถสร้างทางเดินชีวิตที่ดีและมั่นคงให้กับตนเองและคนที่รักได้ในที่สุด

การสัก Passion แห่งสีสันบนเรือนร่าง ที่หลายคนโนแคร์แม้จะถูกมองในแง่ลบ

ในบริบทในสังคมไทยปัจจุบันมีค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมพอสมควรในหลาย ๆ เรื่อง ประเด็นหนึ่งที่หลายคนมองข้ามไปก็คือ เรื่องของการ “สัก” หากเราเดินไปตามแหล่งท่องเที่ยวแนวสตรีทในช่วงเย็นย่ำ หลายแห่งเลยทีเดียวที่เราจะเห็นร้านรับบริการสักลายบนเรือนร่างเปิดให้บริการกันอยู่เต็มไปหมด ภายในร้านก็มักจะมีช่างสักฝีมือดีอยู่ไม่เกิน 3 คน บางร้านก็มีแค่คนเดียวด้วย เรารับรู้กันดีว่าการสักนั้นเป็นรสนิยมส่วนบุคคล แต่โดยภาพรวมใหญ่ของสังคมไทยลึก ๆ แล้วก็ยังไม่ยอมรับหรือรู้สึกในแง่ลบต่อการสักลายบนเรือนร่างอยู่ดี หลายคนเคยบอกว่า เมื่อเห็นคนมีรอยสักมักจะทำให้รู้สึกถึงนักเลง ขี้คุก คนติดยา หรือสื่อไปให้เห็นถึงความรุนแรงและสกปรก แต่เรื่องนี้น่าแปลก ถ้ารอยสักแบบเดียวกันไปปรากฏอยู่บนร่างกายของคนดัง หรือ นักกีฬาดังมืออาชีพ ความรู้สึกของผู้คนกลับเปลี่ยนไป

เมื่อนักกีฬาดังสัก คนไม่ยักกะรังเกียจ

ย้อนกลับไปในกีฬาโอลิมปิก 2016 ที่ริโอเดจานาโร ประเทศบราซิล มีนักกีฬาหลายคนสร้างชื่อเสียงตนเองให้เป็นที่รู้จักกันจนถึงทุกวันนี้ด้วยการเผยรอยสักในร่างกายของตนเองไปพร้อม ๆ กับฝีมือในการแข่งขันกีฬา แน่นอนว่าทักษะและศักยภาพในด้านกีฬาเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นมา แต่ปัจจัยเสริมอย่างรอยสักที่ดูสะดุดตาและมีเสน่ห์ก็เป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นให้แฟน ๆ กีฬาจดจำพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Daniel Jason Lewis นักมวยสากลสมัครเล่นชาว Australia ก็สร้างความรู้สึกสะดุดตาให้กับแฟน ๆ กับรอยสักเต็มร่างกาย ที่ดูจะเป็นที่พูดถึงมากที่สุดก็คือ รอยสักรูปจิงโจ้ที่มีการสวมนวมทำท่าทางชกมวยอยู่ หรืออย่าง Ignacio Perrin นักมวยสากลสมัครเล่นชาว Argentina ที่มาเต็มกับรอยสักที่แผ่นหลังรูปบุคคลสำคัญทั้งพระแม่มารี เชกูวาร่า ทำให้สะดุดตาแฟนมวยกันได้ดียามเขาถอดเสื้อ นักกีฬาเหล่านี้สร้างจุดเด่นของตนเองขึ้นมาจากรอยสักด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกว่า คนกลับพูดถึงพวกเขาเหล่านี้ในแง่ที่ดี ไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือคิดถึงคนเหล่านี้ในแง่ลบเลย ทำไมเป็นเช่นนั้นล่ะ ก็เป็นเรื่องน่าแปลกใจเหมือนกัน

รอยสักจะลบหรือบวก อยู่ที่ใจคน

หากจะว่าไปแล้วรอยสักก็คงจะเหมือน ๆ เรื่องของการพนัน ที่มองได้ทั้งสองแง่ มีทั้งขาวและดำ อย่างในปัจจุบันเกิดเว็บไซต์พนันกีฬาในไทยเรามากมายหลายเว็บ รายหนึ่งในนั้นก็คือ เว็บไซต์ VWIN ที่ให้บริการรับเดิมพันทั้งกีฬาและเกมพนันสไตล์คาสิโน เว็บไซต์เหล่านี้ถ้าจะมองให้ดีแล้วก็แค่ธุรกิจอย่างหนึ่ง ที่เปิดเพื่อให้คนสนใจเรื่องพนันได้มาสนุกและมาบันเทิงกัน แต่ถ้ามองกันในแง่ลบมองเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องก็มองได้ รอยสักนั้นก็คงเป็นเรื่องลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าจะอยู่บนร่างกายของใครส่วนไหน จะอยู่บนเรือนร่างของคนหนุ่มคนสาว คนผอมคนอ้วน คนธรรมดาทั่วไป หรืออยู่บนร่างกายของนักกีฬาคนดัง ถ้าใจคนมองคิดว่าเรื่องสักเป็นเรื่องแง่ลบรอยสักไปอยู่กับใครก็มองว่ามันไม่สวยอยู่ดี แต่ถ้าคนมองบวกมองยังไงก็รู้สึกว่ามันสวยงาม แน่นอนส่วนตัวนักกีฬาหรือคนที่มีรอยสักในตัวนั้น ทุกคนมองว่ารอยสักเป็นเรื่องของ Passion เป็นงานศิลป์อย่างหนึ่งที่น่าหลงใหล ใครจะมองอย่างไรมันไม่สำคัญ ขอเพียงสิ่งนั้น ๆ เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจทำให้พวกเขามีพลังที่จะก้าวต่อไปในชีวิตบนเส้นทางของตนเองก็เพียงพอแล้ว เรื่องแบบนี้อยู่ที่ใจคนมองมันห้ามกันไม่ได้หรอกเนอะ

รอยสักเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนบุคคล บางคนมองว่ามันคือการแสดงออกในแง่ลบ ส่วนบางคนมองว่ามันคือความน่าหลงใหล แล้วคุณล่ะมองศิลปะบนเรือนร่างนี้ในแง่ไหน ถามใจดู