รอยสักนักฟุตบอล โดดเด่นและเป็นตัวเองในแบบฉบับนักเตะดัง

รอยสักกับเหล่านักกีฬา โดยเฉพาะนักฟุตบอลชื่อดัง เหมือนเป็นแฟชั่นที่ออกแนวศิลปะบนผิวกาย แต่มีความหมายอันลึกซึ้งไม่มากก็น้อย เพราะแต่ละรอยสักนั้นมีที่มาที่ไปที่เกี่ยวข้องกับนักเตะชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของครอบครัว คนรัก สถานที่สำคัญ การแข่งขันนัดประวัติศาสตร์ หรือสัญลักษณ์ประจำตัวที่เจ้าตัวมีความเชื่อว่าดี นำโชคมาให้อยู่เสมอ แม้กระทั่งเพื่อเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจบางอย่าง ไม่ว่าจะรอยสักแบบไหนก็ทำให้บรรดาแฟนคลับสนใจและอยากทราบเกี่ยวกับรอยสักเหล่านั้น จนบางคนนำไปสักเลียนแบบก็มีเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีความสวยงามจากศิลปะการวาดลวดลายของรอยสักจนเป็นความโดดเด่นหนึ่งประจำตัวของนักกีฬา เพราะมีลวดลายแปลกตา สวยและสง่างาม

รอยสักสวย 3 สไตล์แบบไอดอลขวัญใจแฟนบอล

  1. เมมฟิส เดอปาย (Memphis Depay) กับรอยสักรูปสิงโตเต็มแผ่นหลัง เพื่อบ่งบอกว่าเข้ามีความกล้าหาญและพร้อมสู้ทุกเวลา เพราะสิงโตเป็นสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่ง ถึงแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างหัวใจแกร่ง ไม่เกรงกลัวต่ออุปสรรคที่ต้องพบเจอ หรือ รูปรอยสักวงกลมเล็ก ๆ ที่ข้อมือ มีความหมายถึงความสัมพันธ์อันดีงามภายในครอบครัวและผองเพื่อนที่แสดงออกถึงความมีมิตรภาพ ความจริงใจซึ่งกันและกัน
  2. อัลเบร์โต โมเรโน (Alberto Moreno) กับรอยสักสะดุดตาแบบ 4 สัตว์ที่สื่อถึงความหมายอันลึกซึ้ง คือ
    – รูปลิงใส่แว่นตา หูฟังและถือปืนปิดปากเอาไว้ เพื่อสื่อถึงการหลักการใช้ชีวิตที่ดีในแบบของเขา คือ ไม่ดู ไม่ฟังและไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่ดี เหมือนเป็นเครื่องเตือนใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา
    – รูปเสือดาวพันผ้าพันคอลายสวย ซึ่งแสดงความหมายถึง ภายใต้ความละเอียดอ่อนนั้นก็สามารถมีความดุร้ายซ่อนอยู่ได้เช่นกัน
    – รูปหมีแพนด้าสวมหมวกและแว่นตาข้างเดียวแล้วยังคาบไปป์อีกด้วย ดูเหมือนไร้เดียงสาและน่ารัก แต่มันแสดงลึกซึ้งถึงความมีสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดอยู่ลึก ๆ
    – รูปหมาน้อยน่ารักที่มีชื่อว่าอาลีสวมนวมและตั้งการ์ดพร้อมเสมอ เพื่อทำให้เจ้าหมาน้อยนั้นก็มีความแข็งแกร่งเช่นกัน
  3. นักเตะขวัญใจแฟนบอลตลอดกาลอย่าง เดวิด เบ็คแฮม (David Beckham) ที่มีรอยสักหลากหลายและความหมายกินใจ อย่างรูปพระเยซู เทพผู้พิทักษ์ ชื่อลูกชายและชื่อของภรรยาสุดที่รัก และเลขประตัวของเขาซึ่งเป็นเลขสร้างชื่อเสียงให้กับเขามาอย่างยาวนาน คือเลข 7 เป็นภาษาโรมัน

นักฟุตบอลมีรอยสักดีอย่างไร…ทำไมส่วนใหญ่จึงต้องมี

การเลือกศิลปะบนเรือนร่างอย่างรอยสักรูปต่าง ๆ ของเหล่านักเตะดังนั้น นอกจากความสวยงามและความเชื่อแล้วยังสามารถสร้างกำลังใจและความมั่นใจเวลาลงท่าแข้งได้เป็นอย่างดีเช่นกัน เพราะเหมือนได้พกพากำลังใจจากรอยสักนั้นลงสนามได้ด้วย อย่างเช่น รูป หรือชื่อคนในครอบครัวซึ่งนิยมกันมากเป็นอันดับหนึ่ง ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัวก็ไม่ท้อถอย ยังยืนหยัดสู้ต่อไปได้อย่างมั่นใจและมีความมั่นคง จนกลายเป็นนักเตะที่มีผู้คนชื่นชอบ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก

ช่วงเวลาสั้น ๆ ในโรงละครแห่งความฝัน ของโอเดียน อิกาโล่

“ผมเติบโตขึ้นมากับการดูแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเล่นผ่านทางทีวี และชอบดูการเล่นของคู่หูกองหน้า อย่างแอนดี้ โคล และดไวท์ ยอร์ค พวกเขาคือแบบอย่างให้กับการเล่นฟุตบอลของผม และความฝันสูงสุดของผมคือการได้ลงเล่น ในโอลด์แทรฟฟอร์ดซักครั้งหนึ่งในชีวิต” นี่คือคำพูดที่โอเดียน อิกาโล่ ได้ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อปี 2016 โดยที่ไม่มีใครแม้แต่เจ้าตัวเองจะรู้ว่า ความฝันนั้นมันจะมีโอกาสเป็นจริง ในอีก 3 ปีต่อมา

เป็นที่รู้กันดีว่า สภาพทีมของปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในฤดูกาลนี้ ไม่ได้ดีนัก ทั้งเกมรุกและเกมรับ และเริ่มจะเป็นที่รับไม่ได้ของบรรดาแฟนบอล โดยมีการเดินออกจากสนามก่อนเวลา เพื่อส่งสัญญาณไปถึงบอร์ดบริหารและผู้จัดการทีม ว่ามันถึงเวลาที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับทีมเสียที ก่อนที่สถานการณ์ต่าง ๆ มันจะเลวร้ายไปกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อกองหน้าตัวความหวังของทีมอย่างมาร์คัส แรชฟอร์ดมีอาการบาดเจ็บ ต้องพักยาวไปอีกคน ดังนั้นสิ่งที่โซลชาร์ต้องทำโดยด่วนคือการหากองหน้าเพื่อเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงในแนวรุกโดยเร็วที่สุด

ตลอดหนึ่งเดือนเต็มของช่วงตลาดหน้าหนาว ปีศาจแดงมีข่าวกับนักเตะมากมาย แต่ก็เหมือนจะเป็นข่าวโคมลอยซะเป็นส่วนใหญ่ จนแฟน ๆ เริ่มที่จะเอือมระอากับการเสริมทัพของทีม และผู้เล่นที่เป็นข่าวก็ต่างปิดดีลกับสโมสรอื่นกันไปทีละรายสองราย ทั้งเออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ที่ไปเปิดตัวด้วยแฮตทริค กับดอร์ทมุนด์ เอดิสัน คาวานี่ เตรียมย้ายไปแอตเลติโก มาดริด จนวันสุดท้ายก่อนตลาดวาย เหลือเพียงแค่โจชัว คิงส์ กับโอเดียน อิกาโล่ ที่เป็นตัวเลือกเพียงแสองคน แต่ด้วยเงื่อนไขด้านเวลาที่เหลือแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ค่าตัวของเด็กเก่าอย่างโจชัว คิงส์ถูกโก่งขึ้นไปถึง 40 ล้านปอนด์ ซึ่งเรียกได้ว่าฟันหัวแบะเลยทีเดียว ดังนั้นจึงเหลือเพียงเค้าคนเดียว คนที่ฝันอยากจะเล่นให้ยูไนเต็ดมาตลอดชีวิตอย่าง โอเดียน อิกาโล่

ใช่ครับสุดท้ายเหลือเขาเพียงคนเดียว แต่ช้าก่อนอย่าพึ่งคิดว่าเขาคือของเหลือเลือกจากทีมอื่น เพราะกว่าจะเบียดเข้ามาเป็นหนึ่งในตัวเลือกของปีศาจแดง แน่นอนว่าเขาต้องมีดีอยู่ในตัวแน่นอน โดยคุณสมบัติทางกายภาพ เขาเป็นกองหน้าที่มีส่วนสูง 188 เซนติเมตร ร่างกายแข็งแกร่งพร้อมชน มีความเร็วสูงและคล่องตัว ไปกับบอลได้ดี รวมทั้งจบสกอร์ใช้ได้ และแน่นอนเขาพร้อมจะทุ่มเทให้กับทีมที่เขาใฝ่ฝันจะเล่นให้อย่างแน่นอน

และถ้าจะพูดถึงเรื่องประสบการณ์ เขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคู่แข่งคนอื่น ๆ โดยเขาผ่านการเล่นลีกใหญ่มาแล้ว ทั้งที่อิตาลี่ กับอูดิเนเซ่ และเชเซน่า ถึงจะลงเล่นรวมกันไปแค่ 9 นัด แต่ที่อูดิเนเซ่ เขาก็เคยร่วมงานกับเพลย์เมคเกอร์คนใหม่ของทีมอย่าง บรูโน่ แฟร์นันด์ส และผ่านเกมในลาลีกา สเปน กับกรานาด้า ถึง 64 นัด (12 ประตู) ก่อนย้ายมาเล่นให้วัตฟอร์ด และยิงถึง 20 ประตูพาทีมแตนอาละวาดเลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ และในปีแรกเขาระเบิดประตูในลีกไปถึง 15 ประตู ก่อนจะดร็อปลงในปีต่อมา จนต้องย้ายไปโกยเงินหยวนที่แผ่นดินมังกร ซึ่งที่จีนนั้นนอกจากค่าเหนื่อยมหาศาลถึงสัปดาห์ละราว ๆ 300,000 ปอนด์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เขาได้มาคือ ความมั่นใจ เพราะเขากลับมายิงระเบิดอีกครั้ง โดยใช้เวลา 2 ฤดูกาลครึ่ง ยิงไปถึง 46 ประตู จากการลงสนาม 72 เกม

โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ บอกว่ากองหน้าที่เขาต้องการ คือคนที่พร้อมจะทำทุกอย่างทุ่มเทสุดตัว เพื่อให้ทีมได้ประตู และเชื่อว่าโอเดียน อิกาโล่ ก็พร้อมจะทุ่มเทสุดตัวเพื่อความฝันของเขาเช่นกัน แม้ว่าความฝันนี้จะเป็นช่วงสั้น ๆ เพราะมีเพียงสัญญายืมตัวระยะเวลา 6 เดือนเท่านั้น แต่ถ้าเขาทำให้ความฝันนี้เป็นฝันที่ดี หลังจบสัญญาระยะสั้นนี้ อาจจะมีความฝันที่ดีกว่ารออยู่ก็ได้ ใครจะไปรู้

บทบาทของบรูโน่ แฟร์นันด์ส กับภารกิจปั้นเกมรุกผีแดง

เกือบจะเป็นดีลล่มตามหลาย ๆ ดีลไปแล้ว สำหรับการคว้าตัว บรูโน่ แฟร์นันด์ส จากสปอร์ตติง ลิสบอน เพื่อมาเพิ่มมิติเกมรุกให้กับทัพผีแดง โดยตลอดหนึ่งเดือนของตลาดหน้าหนาว ข่าวของบรูโน่มีมาแล้วก็ไป ทีละแค่ 48 ชั่วโมง แต่ผ่านไป 48 ชั่วโมงแล้ว 48 ชั่วโมงเล่า ก็ไม่มาซักที กว่าจะได้เปิดตัวก็ล่วงเวลาไปจนเกือบตลาดวาย และเมื่อได้มาแล้วตำแหน่งการเล่นของเขาจะเป็นอย่างไร และทีมจะได้ประโยชน์เช่นไรลองมาวิเคราะห์กันดู

เกมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ บรูโน่ได้รับมอบหมายให้ลงไปเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุก ก่อนที่จะถ่อยลงต่ำกว่าเดิมในช่วงครึ่งหลัง และเจ้าตัวก็ทำได้ค่อนข้างดี ทั้งเกมรุกและการเข้าแย่งบอล โดยเขามีโอกาสจ่ายบอลสวย ๆ ค่อนข้างเยอะ และมีจังหวะยิงไกลหลายครั้ง รวมไปถึงลูกฟรีคิกด้วย แต่ก็ยังไม่มีสกอร์แรก โดยสื่อต่างชาติ หลาย ๆ สำนัก ให้คะแนนอยู่ที่ 6-7 คะแนน ซึ่งถือเป็นคะแนนที่น่าพอใจเลยทีเดียว สำหรับเกมที่มีเวลาซ้อมกับทีมเพียงแค่ไม่กี่วัน

จากนี้ไปเมื่อได้ซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมมากขึ้น เชื่อว่าการเล่นของเขาจะลื่นไหลมากกว่านี้ และตำแหน่งที่เขาทำได้ดีที่สุด ก็คือตำแหน่ง ตัวรุกหมายเลข 10 คงจะไม่ถูกส่งไปประจำการในตำแหน่งอื่นแน่ ในตำแหน่งนี้และด้วยสไตล์การเล่นของเขาที่สามารถไปกับบอลได้ดี เลี้ยงกินตัวกองหลังได้ และมีลูกยังไกลเป็นอาวุธลับ จะทำให้เปิดพื้นที่กองหลังให้บรรดาตัวรุกอย่าง แดเนียล เจมส์ , อองโทนี่ มาร์ซิยาล, และคนอื่น ๆ มีช่องเล่นมากขึ้น และให้เจ้าตัวมีพื้นที่จ่ายบอลสวย ๆ ให้เพื่อนร่วมทีมเข้าทำได้มากขึ้นแน่นอน

แผลที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องการแก้ไขคือ เมื่อเจอคู่ต่อสู้ที่ถอยลงไปตั้งรับลึก แล้วไม่สามารถหาจังหวะและเปิดพื้นที่กองหลังเข้าไปทำประตูได้ ทำให้จบที่การเสมอหรือโดนสวนจนแพ้อยู่บ่อย ๆ และการแก้ปัญหานี้โดยการใช้บรูโน่ ถือว่าตอบโจทย์นี้ได้ แต่จะหวังพึ่งเขาคนเดียวก็ไม่ใช่ที่ ผู้จัดการทีมจะต้องวางแท็กติก และเพื่อนร่วมทีมจะต้องช่วยกันเล่นให้สมกับที่จะเป็นผู้ชนะ เพราะการจะให้ผู้เล่นเพียงคนเดียวแบกเกมรุกทั้งทีมไว้คงจะไม่ไหวแน่

ในขณะที่ทีมตกต่ำ เชื่อว่าทุกคนเข้าใจว่าการจะกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะกลับมาได้แบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ แต่สิ่งที่ทุกคนอยากจะเห็นหลังจากนี้ คือการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีของทีม การเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้แฟนบอลทุกคนมองเห็นอนาคตบ้าง สร้างความหวังระยะยาวให้กับทีมได้ และวันนี้การได้บรูโน่มาเสริมทัพ ทุกคนต่างตั้งความหวังว่าการเปลี่ยนแปลงของทีม จะคุ้มกับเม็ดเงินที่จ่ายไป และต้องเป็นหน้าที่ของผู้จัดการทีมแล้ว ว่าจะปรับแต่งทีมอย่างไร หลังได้อะไหล่ชั้นยอดชิ้นนี้มาแล้ว ได้มาแล้วต้องใช้ให้คุ้ม ต้องใช้ให้เป็น เพราะถ้าใช้ไม่เป็น อาจจะเป็นการซื้อมาเพื่อให้คนอื่นใช้นะ น้าโอเล่

การตื่นจากโรงละครแห่งความฝัน(ร้าย) ของโรเมลู ลูกากู

“ย้ายออกจากผี ได้ดีทุกคน” คำพูดนี่ช่างเป็นคำที่เสียดแทงใจดำของเหล่าเด็กผีทุกหมู่เหล่าอย่างมาก แต่จะโต้เถียงอะไรได้ เมื่อมันมีหลักฐานให้เห็นอยู่ชัดเจน และกรณีนี้ก็เช่นกันเมื่อกองหน้าที่เป็นตัวตลกของแฟน ๆ อย่างโรเมลู ลูกากู ย้ายออกจากทีม ไปอยู่กับอินเตอร์ มิลาน

ลูกากู ถือเป็นผู้เล่นที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมจะเป็นสุดยอดกองหน้าได้ ด้วยร่างกายที่สูงถึง 190 เซนติเมตร แถมมีร่างกายที่แข็งแกร่งบึกบึน มีความเร็ว การจบสกอร์ที่เฉียบคม และเล่นลูกกลางอากาศได้ดี อีกทั้งเจ้าตัวยังมีความกระหายที่จะพัฒนาตัวเองอย่างมาก นับตั้งแต่การย้ายจากทีมบ้านเกิดอย่างอันเดอร์เลช มาสู่ถิ่นสแตรมฟอร์ด บริดจ์ของเชลซี แต่ไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากนัก จนต้องปล่อยให้เวสบรอมวิช อัลเบียน ยืมไปใช้งาน และเมื่อเขาได้โอกาสลงสนามเขาก็ทุ่มเทอย่างมาก เพื่อพิสูจน์ตัวเอง โดยยิงให้เวสบรอมวิชไปถึง 17 ประตูจาก 35 นัด แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเบียดกองหน้าระดับโลกอย่างเฟอร์นานโด ตอร์เรสได้อยู่ดี จนต้องออกไปหาโอกาสลงสนามอีกครั้ง ที่เอฟเวอร์ตัน ด้วยสัญญายืมตัว และเขาก็โชว์ของกดไป 15 ลูกให้เอฟเวอร์ตัน จนทีมท็อปฟี่สีน้ำเงิน ตัดสินใจกระชากตัวเขามาอยู่กับทีมถาวรด้วยเงินถึง 28 ล้านปอนด์ เมื่อเขามีโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่องที่เอฟเวอร์ตัน เขาก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างมากมาย เรียกได้ว่าเป็นกองหน้าระดับแนวหน้าของลีค และเป็นกำลังหลักของเอฟเวอร์ตันและทีมชาติเบลเยี่ยม

แต่เหมือนเขาจะเอาทุกอย่างที่สร้างจากเอฟเวอร์ตัน มาทิ้งไว้ที่โอลแทร๊ฟฟอร์ด เมื่อโชเซ่ มูรินโญ่ ขอให้สโมสรดึงตัวเขามาร่วมทีม ด้วยค่าตัวสูงถึง 75 ล้านปอนด์ แต่ด้วยแผนการเล่นของมูรินโญ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องเกมรับ ลูกากูถูกปล่อยให้โดดเดี่ยวอยู่ในแดนคู่แข่ง ภาพที่ชินตาคือการที่เห็นเขาวิ่งไล่แย่งบอลที่สาดยาวมาจากแดนหลัง อย่างโดดเดี่ยว ไม่ใช่การร่วมต่อบอลสร้างสรรค์เกมรุกกับเพื่อนร่วมทีม ทำให้ตลอดสองฤดูกาลเขายิงในลีกได้เพียง 28 ประตู สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ สภาพจิตใจของลูกากูในขณะนั้น เขาไม่เหลือความมั่นใจอยู่เลย วิญญาณเพชฌฆาตของเขาเลือนหาย กลายเป็นตัวตลกของแฟน ๆ จนถูกตั้งฉายาว่า ตู้เย็น เพราะเหมือนเอาตู้เย็นไปตั้งไว้ในกรอบเขตโทษ แทบไม่มีพิษภัยใด ๆ กับฝั่งตรงข้ามเลย

และฝันร้ายของเขาได้จบลงแล้ว เมื่ออินเตอร์ มิลาน ภายใต้การคุมทีมของอันโตนิโอ คอนเต้ ทุ่มเงิน 80 ล้านยูโรดึงตัวเขาไปร่วมทีม และคอนเต้ได้ทำการปลุกวิญญาณนักล่าในตัวเขาขึ้นมาอีกครั้ง เขายิงได้ตั้งแต่นัดแรกที่ลงสนาม ความเร็ว ความมั่นใจ และเทคนิคต่าง ๆ ของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดหูผิดตา ปัจจุบันเขายิงให้อินเตอร์ไปแล้ว 16 ประตู เป็นที่รักของแฟน ๆ และเพื่อนร่วมทีม และที่สำคัญเขากลับมาเล่นฟุตบอลอย่างมีความสุขและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง นับว่านี่คือการตื่นจากฝันร้ายของ โรเมลู ลูกากู อย่างแท้จริง

ทำความรู้จักกับ สตีเว่น เบิร์กไวจ์น ปีกตัวใหม่ ของไก่เดือยทอง

เปิดตัวอย่างสวยงามแล้ว ปีกคนใหม่ของทีมไก่เดือยทอง ท็อตแน่มฮอท สเปอร์ส อย่างสตีเว่น เบิร์กไวจ์น หลังจากที่เจ้าตัวทำประตูสุดสวย ช่วยให้ต้นสังกัดใหม่ของเขาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ไป 2 ประตู ต่อ นับเป็นการเปิดตัวในฝันเลยก็ว่าได้ สำหรับดาวรุ่งวัย 22 ปี เราลองมาดูที่มาและที่ไปของเจ้าหนูคนนี้กันซักหน่อย

เบิร์กไวจ์น เกิดที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เขาเริ่มต้นฝึกฝนวิชาลูกหนังในอคาเดมี่ ของอแจ็กส์ อัมสเตอร์ดัม ก่อนที่จะย้ายเข้าศูนย์ฝึกเยาวชนของ พีเอสวี ไอน์โฮเฟน เมื่ออายุได้ 14 ปี และได้เริ่มลงสนามให้กับทีมตอนอายุเพียง 17 ปี โดยเริ่มต้นด้วยการสลับขึ้นลงระหว่างทีมชุดใหญ่และชุดสำรอง เขาใช้เวลาสองฤดูกาลในการยึดตำแหน่งตัวจริงบนทีมชุดใหญ่ ก่อนจะวาดลวดลายลูกหนังจนเตะตาแมวมองทีมใหญ่จากทั่วยุโรป โดยเขาลงเล่นให้พีเอสวีไปทั้งหมด 112 นัด ยิงไปทั้งสิ้น 29 ประตู ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่ยอดเยี่ยมเลยสำหรับผู้เล่นตำแหน่งปีก

เขาตกเป็นข่าวกับทีมยักษ์ใหญ่จากลีกต่าง ๆ ทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อินเตอร์ มิลาน, สเปอร์ส, บาเยิร์น มิวนิค รวมไปถึงดอร์ทมุนด์ที่สนใจดึงตัวเขาไปร่วมทีม ก่อนที่จะเป็นทางสเปอร์สที่ต้องการตัวเขามากกว่าหลังการย้ายทีมของคริสเตียน อีริคเซ่น รวมทั้งปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่นในแนวรุก จึงยอมทุ่มเงินจำนวนถึง 27 ล้านปอนด์ เพื่อดึงตัวเขาเข้ามาอุดร่องรอยที่อีริคเซ่นทิ้งไว้ และเขาก็ได้แสดงความสามารถให้เห็นแล้ว ด้วยการยิงประตูแรกทันทีที่ได้ลงสนาม และเป็นการยิงที่ต้องบอกเลยว่าดาวรุ่งคนนี้มีของ และเขาจะตอบแทนทีมได้คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่จ่ายไปอย่างแน่นอน

สไตล์การเล่นของเขานั้น ถูกยกย่องและนำไปเปรียบเทียบกับฟร้องค์ ริเบรี่ ตำนานปีกชาวฝรั่งเศสของบาเยิร์น มิวนิค เลยทีเดียว ด้วยการไปกับบอลได้ดี เลี้ยงบอลติดเท้า และมีสปีดที่รวดเร็ว อีกยังทำได้ดีทั้งการจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีม และการจบสกอร์ด้วยตัวเอง ด้วยสไตล์การเล่นแบบนี้เชื่อว่าจะเป็นผู้เล่นที่เหมาะกับแผนการเล่นของกุนซือโชเซ่ มูรินโญ่อย่างแน่นอน เพราะมันเหมาะกับการโจมตีเร็ว ในเกมโต้กลับโดยที่ไม่ต้องใช้ตัวผู้เล่นในการเล่นเกมรุกหลายคน ดังนั้นเชื่อว่าเขาจะมีอนาคตที่ดีในทีมของมูรินโญ่อย่างแน่นอน

สถิติต่าง ๆ ที่ผ่านมามันทำให้เห็นว่าลีกในประเทศมันเล็กเกินไปสำหรับฝีเท้าของเขาแล้ว และมันเป็นใบเบิกทางให้ตัวเขาย้ายมาที่ลอนดอน แต่นับจากนี้ไปต่างหากที่จะเป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาสอบผ่านหรือไม่ กับลีกที่ใหญ่กว่า เกมที่เร็วและหนักหน่วงกว่า ความกดดันและความคาดหวังที่สูงกว่า เขาจะทำได้ดีแค่ไหน แต่ตอนนี้เขามีคะแนนในหัวใจแฟน ๆ ไก่เดือยทองบางส่วนแล้ว หลังจากทำข้อสอบข้อแรกได้คะแนนเต็มไปอย่างสวยงาม

ติโม แวร์เนอร์ ว่าที่กองหน้า ค่าตัวแพง แห่งบุนเดสลีกาคนต่อไป

ณ เวลาในเวทีบุนเดสลีกา เยอรมันคงไม่มีใครจะร้อนแรงเท่ากับเขาคนนี้ ฤดูกาลนี้ติโม แวร์เนอร์ ยิงประตูในลีกให้ต้นสังกัด อาร์เบ ไลป์ซิก ไปแล้วถึง 20 ประตู เป็นรองเพียงแค่โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ กองหน้าระดับโลกของบาเยิร์นมิวนิคเท่านั้น แต่เขายังพิเศษกว่าดาวยิงเสือใต้อยู่นิดหน่อยคือพ่วงสถิติแอสซิสต์ อีก 6 ลูก และที่สำคัญ แวร์เนอร์อายุเพียงแค่ 23 ปีเท่านั้นเอง

แวร์เนอร์เป็นเด็กปั้นของเฟาเอฟเบ สตุ๊ทการ์ท เขาเริ่มลงเล่นในทีมชุดใหญ่ให้กับทีมม้าขาวตั้งแต่ยังไม่จบไฮสคูลด้วยซ้ำ เพราะเขาลงสนามในบุนเดสลีกาตั้งแต่อายุเพียง 17 ปี ในวัยเด็กขนาดนั้นถ้าเป็นคนอื่น ๆ คงจะอยู่ในช่วงสร้างประสบการณ์ ลงสนามบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่แวร์เนอร์ลงเล่นให้กับสตุ๊ทการ์ทไปถึง 34 นัดรวมทุกรายการ พร้อมกับการเรียนไฮสคูลปีสุดท้ายของเขา และเขาก็เป็นตัวหลักให้กับทีมม้าขาว ตลอด 3 ฤดูกาล เขาลงสนามไปถึง 103 นัด ยิงไป 14 ประตู จนกระทั่งสตุ๊ตการ์ทตกชั้นในปี 2016 จึงเป็นทีมน้องใหม่ไฟแรงอย่างไลป์ซิก ดึงเขามาร่วมทีมด้วยค่าตัว 10 ล้านยูโร ซึ่งถึงขณะนี้เห็นได้ชัดว่ามันถูกยังกับได้เปล่าเลย

สิ่งที่ไลป์ซิกทำหลังจากได้ตัวเขามานั้น ทำให้เป็นเหมือนการใช้งานแวร์เนอร์ของสตุ๊ตการ์ท ใช้เขาเหมือนไม่ได้เปิดคู่มืออ่าน เพราะที่สตุ๊ตการ์ท ตำแหน่งของเขาคือปีก แต่ที่ไลป์ซิกเขาถูกดันขึ้นไปเล่นในตำแหน่งกองหน้า และผลลัพธ์ของมันก็ชัดเจน เพียงฤดูกาลแรกกับไลป์ซิก เขาทำประตูไปถึง 21 ลูกซึ่งมากกว่าที่ทำได้ตลอด 3 ปีกับทีมเก่าเลยด้วยซ้ำ และด้วยความที่เข้าเป็นปีกธรรมชาติมาก่อน เมื่อกลายร่างมาเป็นศูนย์หน้าสิ่งที่เขาทำได้ดีกว่ากองหน้าธรรมชาติคือการเลี้ยงบอลเพื่อสร้างจังหวะการเล่นด้วยตัวเอง เมื่อบวกกับการจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยมด้วยเท้าทั้งสองข้าง เขาก็กลายมาเป็นกองหน้าที่อันตรายต่อแผงเกมรับคู่แข่งอย่างยิ่ง

ด้วยฟอร์มสุดฮอตของกองหน้าสัญชาติเยอรมันรายนี้ทำให้เขามีข่าวการย้ายทีมสู่ทีมใหญ่กว่าไลป์ซิกเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีการประเมินกันว่า ค่าตัวของเขาอยู่ราว ๆ 67.5 ล้านปอนด์ แต่เมื่อมองรายชื่อบรรดาทีมเศรษฐีมีเงินที่หมายปองตัวเขาแล้วนั้น มีทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, เชลซีจากพรีเมียร์ลีก ปารีส แซงต์แชร์กแมงจากฝรั่งเศส และทีมมหาอำนาจในลีกบ้านเกิดอย่างบาเยิร์น มิวนิค แต่ละทีมล้วนแล้วแต่เงินถุงเงินถังทั้งนั้น ถ้าหากจะมีการย้ายทีมเกิดขึ้นเชื่อว่าค่าตัวของเขาคงจะสูงกว่าราคาประเมินแน่นอน เพราะเจ้าตัวก็พึ่งจะต่อสัญญากับทีม และไลป์ซิกเองก็คงจะไม่ยอมเสียผลประโยชน์แน่ ๆ เหลือแค่บรรดาเศรษฐีที่ดาหน้ากันมาแย่งลายเซ็นของเขานี่แหละ ว่าพร้อมจะทุ่มกันแค่ไหน คงต้องจับตาดูกัน ว่าตลาดซัมเมอร์นี้ จะมีดีลใหญ่ให้แฟนบอลฮือฮากันหรือเปล่า รอดูก้าวต่อไปของติโม แวร์เนอร์ ว่าเขาจะก้าวไปอยู่ที่ใด

รอยสักเพื่อบันทึกระยะห่างจากเกียรติยศ ของเมาริซิโอ ปินิลลา

งานศิลปะบนเรือนร่างอย่างการสักนั้น ผู้นิยมการสักย่อมจะมีแรงบันดาลใจต่าง ๆ กันออกไป ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของลวดลาย ความชื่นชอบส่วนตัว ความประทับใจ แต่สำหรับเมาริซิโอ ปินิลลา เขาเลือกที่จะจารึกความผิดหวังของเขาไว้บนเรือนร่างตัวเอง เพื่อย้ำเตือนตัวเขาเองไปตลอดชีวิต

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 กับการแข่งขัน เวิร์ลด์คัพ ฉบับแซมบ้า บนแผ่นดินที่ได้ชื่อว่าประเทศแห่งฟุตบอลอย่างบราซิล ในการแข่งขันรอบ 16 ทีมสุดท้าย เป็นการพบกันระหว่าง 2 ทีมจากทวีปอเมริกาใต้ อย่างเจ้าภาพบราซิล เจอกับทีมชาติชิลี การแข่งขันในเวลาปกติ จบลงที่สกอร์ 1 ประตูต่อ 1 โดยบราซิลได้ประตูออกนำไปก่อนจาก ดาวิด ลุยซ์ และถูกชิลีตามตีเสมอจาก อเล็กซิส ซานเชส ซูเปอร์สตาร์ประจำทีม จึงทำให้ต้องมีการต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที การแข่งขันในช่วงต่อเวลาเป็นไปอย่างสูสีทั้งสองทีมผลัดกันรุกรับ และมีโอกาสทำประตูได้พอกัน แต่สกอร์ยังเสมอกันอยู่ที่ 1 ประตูต่อ 1 จนกระทั่งนาทีที่ 119 กว่า ๆ นาทีสุดท้ายของการต่อเวลา ปินิลลา พักบอลจากการเตะขึ้นมาของผู้รักษาประตู ก่อนทำชิ่งกับอเล็กซิส ซานเชส เข้าไปสับไกบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ ลูกบอลพุ่งแรงชนิดที่เรียกว่า ฮูลิโอ เซซาร์ ผู้รักษาประตูบราซิลไม่มีสิทธิ์ป้องกัน แต่ทว่ามันกลับพุ่งไปชนคานเข้าอย่างจัง และหลังจังหวะนั้นของเขาก็จบเกมทันที และที่มันน่าเศร้ากว่านั้น คือทีมของเขาแพ้จุดโทษ ด้วยสุดยอดฟอร์มของเซซาร์ ที่เซฟจุดโทษได้ถึง 3 ลูก และหนึ่งใน 3 คนที่โดนเซฟ ก็มีชื่อเขาอีกเช่นกัน

ด้วยความผิดหวังครั้งนี้นี่เอง เมาริซิโอ ปินิลลา จึงให้ช่างสักจารึกเหตุการณ์ครั้งนี้ลงบนแผ่นหลังของเขา โดยสักเป็นภาพที่ไม่ต้องคิดตีความหมายใด มองแล้วเข้าใจได้ทันที เพราะรูปที่เขาสักนั้น เป็นรูปจำลองเหตุการณ์การยิงชนคานของเขา พร้อมข้อความ “One centimeter form glory” หรือ “ระยะห่างจากเกียรติยศ 1 เซนติเมตร” เพื่อสะกิดเตือนใจว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเข้าใกล้ความสำเร็จเพียงใด เพราะถ้าหากเกมนั้นลูกยิงของเขา มุดลงต่ำกว่านั้นเพียงหนึ่งเซนติเมตร วิถีของลูกและเหตุการณ์ต่าง ๆ คงจะไม่เป็นเช่นนี้ และถ้ามันเป็นประตู แน่นอนว่าไม่มีเวลาให้คู่ต่อสู้อย่างบราซิล แก้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว และการโค่นบราซิล เข้ารอบบนแผ่นดินบราซิลเอง ย่อมจะเป็นเกียรติยศให้แก่ชีวิตนักฟุตบอลของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย และเมื่อมันไม่เป็นแบบนั้น ความผิดหวังมันจึงมากมายมหาศาลเช่นกัน

เมื่อเวลาผ่านไปตามหน้าที่ของมัน ผู้คนต่างค่อย ๆ ลืมเลือนเหตุการณ์นั้นไป ไม่มีใครโทษเขา เพราะรู้ว่าเขาทำดีที่สุดแล้ว แม้แต่ลูกยิงลูกนั้นก็มีแต่คนชื่นชมและกล่าวถึงในทางที่ดี มีเพียงแต่ตัวเขาที่จะจำความผิดหวังนี้ไว้กับตัวเองไปตลอดชีวิต และมันจะสะกิดเตือนใจเขาไปตลอดว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยอยู่ห่างจากเกียรติยศเพียงแค่เซ็นเดียว เท่านั้นเอง

อันซู ฟาติ เมื่อเจ้าหนูต่างดาว ก้าวขึ้นสู่ยานแม่

อันซูนาเม “อันซู” ฟาติ เด็กหนุ่มจากประเทศที่แทบไม่มีใครรู้จักชื่อ อย่างกินี-บิสเซา ในทวีปแอฟริกา ก่อนที่ครอบครัวของเขาจะย้ายมาตั้งรกรากในสเปน เมื่อเขามีอายุได้พียง 6 ขวบ ในขณะที่พ่อแม่ของเขาตั้งหน้าตั้งตาทำงาน สิ่งที่เจ้าหนูคนนี้ทำก็คือ การไล่เตะลูกฟุตบอล กับเพื่อน ๆ แถวบ้าน และเขาก็เริ่มสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง ในละแวกบ้านโดยคนแถวบ้านต่างชื่นชมในความมหัศจรรย์ของฝีเท้าเจ้าหนูคนนี้

เขาเริ่มต้นฝึกหัดฟุตบอลอย่างจริงจัง กับทีมเอร์เรรา ทีมอคาเดมี่เล็ก ๆ ก่อนจะย้ายร่วมทีมเยาวชนของเซบียา เขาอยู่กับทีมจนกระทั่งอายุ 10 ขวบ ตลอดเวลาเขาได้แสดงศักยภาพทางฟุตบอลออกมาได้โดดเด่น เกินกว่าเด็ก ๆ ในวัยเดียวกันจนเป็นที่เตะตาแมวมองของทีมใหญ่ ๆ จนเกิดการแย่งชิงตัวเขาเกิดขึ้น โดยมี 3 ทีมที่เข้ามายื้อแย่งเจ้าหนูรายนี้ คือเซบียาเองที่อยากจะรั้งตัวเขาไว้กับทีม กับอีกสองยักษ์ใหญ่อย่างเรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า โดยมาดริด เสนอเงินก้อนโตให้กับครอบครัวของฟาติ ส่วนบาร์ซ่านั้นเสนอการพัฒนาศักยภาพทางฟุตบอลของเขา และด้วยชื่อเสียงการสร้างเยาวชนของสถาบันลามาเซีย ก็ทำให้เจ้าตัวตัดสินใจย้ายร่วมทีมเจ้าบุญทุ่มทันที จนทำให้เซบีย่างอน ถึงกับถอดชื่อเขาออกจากรายการแข่งขันระดับเยาวชนเลยทีเดียว

จากวันนั้นถึงวันนี้ ผ่านมา 7 ปีแล้ว ที่เขาเลือกที่จะก้าวเข้ามาสู่ศูนย์ฝึกลามาเซีย และมันพิสูจน์แล้วว่าการเลือกทางเดินของเขาในวันนั้น มันเป็นการเลือกที่ถูกต้อง เมื่อปัจจุบันเขาถูกผลักดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของทีม ด้วยความสามารถของเขา และสถานการณ์การบาดเจ็บของผู้เล่นตัวจริง ทำให้โอกาสของเขามาถึงอย่างรวดเร็ว และเพียงแค่ครั้งแรกที่ลงสัมผัสผืนหญ้าที่คัมป์ นู เขาก็สร้างสถิติทันที ด้วยการเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดเป็นอันดับสอง ด้วยอายุเพียง 16 ปี 9 เดือนกับอีก 25 วัน หลังถูกเปลี่ยนตัวลงสนามในเกมกับ เรอัล เบติส และอีก 7 วันต่อมาเขาก็สามารถปลดล็อกประตูแรกให้กับตัวเองได้ พร้อมกับยึดสถิติ เป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดของสโมสรที่ยิงได้ในลาลีกา ด้วยการช่วยทีมตีเสมอโอซาซูน่า และสด ๆ ร้อน ๆ กับการสร้างสถิติผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ยิงได้สองประตูในเกมเดียว หลังช่วยเหมา 2 ลูกให้ทีมชนะเลบันเต้ไป 2 ประตู ต่อ 1

เส้นทางในอาชีพนักฟุตบอลของเขายังอีกยาวไกล ปัจจุบันเขาเซ็นสัญญากับบาร์ซ่าพร้อมพ่วงเงื่อนไขค่าฉีกสัญญามหาศาลถึง 100 ล้านยูโรเลยทีเดียว ด้วยจำนวนเงินขนาดนี้ ด้วยความรักที่เขามีต่อบาร์ซ่า ด้วยศักยภาพทางฟุตบอลของเขา และการขัดเกลาของทีมงานลามาเซีย เชื่อได้เลยว่าเขาจะอยู่ยาวจนเป็นตำนานคนต่อไปทีมต่างดาวอย่างบาร์เซโลน่า เช่นเดียวกับที่รุ่นพี่อย่างลีโอเนล เมสซี่ ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ถ้าไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นระหว่างทาง อีกซักสิบปีข้างหน้าเมื่อเราพูดถึงบาร์ซ่า เราจะนึกถึงหน้าของเขา เหมือนกับที่เรานึกถึงเมสซี่ในปัจจุบันอย่างแน่นอน

อัลเบอร์โต้ โมเรโน่ กับเหล่าสัตว์มหัศจรรย์ของเขา

นักกีฬาหลายต่อหลายคน ที่หลงใหลในศิลปะการสัก ในกีฬาฟุตบอลเองก็แทบจะเรียกได้ว่าแทบจะมีรอยสักบนเรือนร่างของตัวเองแทบทุกคน มีมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน แต่ถ้าจะกล่าวถึงคนที่มีรอยสักเต็มร่างกายไปหมด ชื่อหนึ่งที่ต้องคิดถึง ต้องมีเขาคนนี้ อัลเบอร์โต้ โมเรโน่ อย่างแน่นอน

อัลเบอร์โต้ โมเรโน่ แบ็กซ้ายชาวสเปน เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของแฟนบอลบ้านเรา เพราะเขาคืออดีตผู้เล่นของทีมหงส์แดงลิเวอร์พูล ซึ่งปัจจุบันเล่นอยู่ในประเทศบ้านเกิด กับสโมสรบียาเรอัล นอกจากฟุตบอลแล้วสิ่งที่โมเรโน่รักคือการสักรูปต่าง ๆ ลงบนเรือนร่างของเขา แน่นอนว่าเขาสักรูปต่าง ๆ ไว้บนร่างกายเยอะมาก แต่วันนี้เราจะมาดูรอยสักรูปสัตว์แปลก ๆ ของเขา ซึ่งเป็นที่กล่าวถึงอย่างมาก ในแง่ของความแปลกประหลาด และสร้างความแปลกใจให้กับผู้คนที่เห็น

1.ลิงชิมแปนซี

นี่คือรอยสักล่าสุดของเขา การสักรูปลิงชิมแปนซี คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าลิงตัวนั้นไม่สวมแว่นตากันแดด ใส่เฮดโฟน ใส่สูท และยังถือปืนอีกด้วย โดยคาดว่าเจ้าตัวต้องการสื่อถึง see no evil, hear no evil, speak no evil, หรือการไม่เห็นสิ่งชั่วร้าย ไม่ฟังสิ่งชั่วร้าย และไม่พูดในสิ่งชั่วร้าย ซึ่งปกติจะเป็นรูปลิง 3 ตัว แต่เขาเลือกใช้ลิงเพียงตัวเดียว แล้วปิดตาด้วยแว่นกันแดด ปิดหูด้วยเฮดโฟน และปิดปากด้วยปลายกระบอกปืน นั่นเอง

2.แพนด้า

แน่นอนว่าแพนด้าของเขาต้องไม่ใช่เจ้าหมีตัวกลมขนปุยน่ารัก ๆ แบบที่เห็นทั่วไป เพราะแพนด้าของโมเรโน่ มันกำลังสูบไปป์ ใส่แว่นตาแบบข้างเดียว และสวมหมวกกลมทรงสูง หรือหมวกทรงกะลานั่นเอง

3.เสือดาว

รูปนี้โมเรโน่จับเอาเสือดาว อันเป็นสัตว์ที่ดุร้ายปราดเปรียว มาใส่ผ้ามัดหัวลายดอกซะหวานแหวว แทบไม่เหลือเค้าโครงของนักล่าผู้ปราดเปรียวเลย ดูไปแล้วรูปนี้เขาอาจจะสื่อถึงความดุร้ายเกรี้ยวกราดที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความงามของผู้หญิงก็เป็นได้

4.น้องหมาตัวโปรด

เขาได้สักรูปเจ้าอาลีน้องหมาตัวโปรดของเขา แต่เพื่อให้มันสมชื่ออาลี เขาก็เลยสักให้มันสวมนวมสำหรับชกมวย และอยู่ในท่าตั้งการ์ด

บรรดาสัตว์มหัศจรรย์ของเขา สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนทุกครั้งที่มีการเปิดตัวพวกมัน และเสียงส่วนใหญ่มักจะออกไปในทางเดียวกันคือ มันคืออะไร เขาต้องการจะสื่ออะไร รวมไปถึงเขาจะสักรูปพวกนี้ไปเพื่ออะไร ทำนองว่าจะบ้าไปแล้วกระมัง แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือมันเป็นงานศิลปะที่สวยงาม และเต็มไปด้วยจินตนาการ ไม่เห็นจะต้องไปแคร์คำพูดใคร หรือทำให้คนทั้งโลกเข้าใจในรอยสักของเขา แค่มันสวยงาม เขาชื่นชอบ พอใจ และมีความสุขกับงานศิลปะของเขา แค่นั้นก็พอแล้ว คิดว่าอัลเบอร์โต้ โมเรโน่ คงอยากจะบอกแบบนี้แหละ

เดเล่ อัลลี่ กับรอยสักแห่งศรัทธาของผู้ไม่ยอมแพ้

เดเล่ อัลลี่ มิดฟิลด์ดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษ ของสโมสรท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เด็กหนุ่มวัย 23 คนนี้สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาแฟนบอลทั่วโลกมาแล้ว ทั้งในนามทีมชาติและระดับสโมสร โดยเขาเป็นกำหลักหลักในแดนกลางให้กับทั้งสองทีม และยึดตำแหน่งตัวจริงได้อย่างเหนียวแน่น จะมีก็เพียงแค่อาการบาดเจ็บเท่านั้นแหละที่จะเบียดเขาจากตำแหน่งในทีมได้

เดเล่ อัลลี่เริ่มต้นอาชีพจากการเป็นเด็กปั้นของมิลตัน คีน ดอน ก่อนที่สเปอร์สจะดึงตัวเขามาร่วมทีมเมื่ออายุ 19 ปีด้วยค่าตัวเพียงแค่ 5 ล้านปอนด์ ถึงตอนนี้เขาลงสนามให้ทัพไก่เดือยทองไปแล้วถึง 149 นัด และทำประตูไปถึง 49 ประตู ส่วนในนามทีมชาตินั้น อัลลี่ติดทีมเยาวชนมาแล้วทุกชุด และตอนนี้เขาเล่นในทีมชุดใหญ่ไปแล้ว 37 นัด และทำได้ 3 ประตู

เดเล่ อัลลี่ คือหนึ่งในนักกีฬาที่ชื่นชอบในศิลปะการสักบนเรือนร่าง และรอยสักของเขาล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับความศรัทธาและการปลุกใจนักสู้ในตัวของเขาทั้งสิ้น เราลองมาดูว่ารอยสักบนร่างกายของเขามีอะไรบ้าง

1.เจ้าหนูแบมแบม รับเบิล ที่แขนซ้าย

แน่นอนว่ารูปนี้ไม่เกี่ยวกับศรัทธาหรืออะไรทั้งสิ้น แต่เจ้าตัวสักรูปนี้เพราะตัวเขามีชื่อเล่นเดียวกันกับตัวการ์ตูนจากเรื่องฟลินท์สโตน คือ “แบมแบม” เนื่องจากชื่อเต็ม ๆ ของเขาคือ แบมมิเดเล่ อัลลี่ นั่นเอง

2.รอยสัก LOSER-LOVER

ที่เหนือข้อศอกซ้าย อัลลี่สักตัวอักษรคำว่า LOSER โดยมีตัว V สีแดงทับอยู่บนตัว S ซึ่งสื่อความหมายได้ว่า จะเป็นที่รัก หรือไอ้ขี้แพ้นั่นเอง

3.รูปคิงส์กับควีน บนหัวไหล่ขวา

อัลลี่สักรูปคิงส์กับควีนที่อยู่บนไพ่ไว้ตรงหัวไหล่ โดยเจ้าตัวบอกว่า เวลาเล่นไพ่ถ้าเขาได้ไพ่สองใบนี้เขามักจะเป็นผู้ชนะเสมอ คงประมาณว่าถ้ามีไพ่สองใบนี้ไว้กับตัว เขาจะไม่มีวันพ่ายแพ้นั่นเอง

4.รูปพระเจ้ากับนางฟ้า

อัลลี่สักรูปพระเจ้ากับนางฟ้าไว้บริเวณท่อนแขนขวา สื่อถึงศรัทธาที่เขามีต่อพระผู้เป็นเจ้า ในศาสนาคริสต์

5.Psalm 23:4

บนทรวงอกด้านซ้าย อัลลี่สักข้อความสั้น ๆ อันสื่อถึงข้อความในไบเบิ้ล ซึ่งมีใจความว่า
“แม้ข้าพระองค์เดินผ่านหุบเขาเงาแห่งความตาย ข้าพระองค์จะไม่หวาดกลัวความชั่วร้ายใด ๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์ พระองค์ทรงปกป้องและนำทางข้าพระองค์ ทำให้ข้าพระองค์สบายใจ” นั่นคือเขาต้องการจะบอกว่าเขาจะไม่เกรงกลัวคู่ต่อสู้หน้าไหนทั้งนั้น

แม้ว่ารอยสักบนร่างกายของเดเล่ อัลลี่ จะยังไม่ได้มากมากมายเท่าใครหลายคน แต่รอยสักของเขาล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธา และเหมาะจะเป็นรอยสักของผู้ที่มีจิตใจแห่งความเป็นนักสู้ ไม่ว่าจะในหรือนอกสนาม ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร เขาจะลงไปสู้โดยไม่เกรงกลัวผู้ใด เมื่อเขามีทุกอย่างที่เขาเชื่ออยู่บนร่างกายของเขาเอง