สตีเวน อดัมส์ เซ็นเตอร์ร่างยักษ์จากทีมเทพเจ้าสายฟ้าผู้มีรอยสักจากดินแดนนิวซีแลนด์

สถิติการบล็อคกว่า 350 ครั้ง สถิติการทำแต้มอีกกว่า 3,000 แต้ม สถิติทั้งสองอย่างเมื่อนำมารวมกัน จะกลายเป็น สถิติการเล่นของผู้เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์จากทีมโอกลาโฮม่า ซิตี้ธันเดอร์ ผู้ซึ่งเป็นผู้เล่นที่กองเชียร์ของทีมชื่นชอบมากที่สุด โดยผู้เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์รายนี้มีชื่อว่า สตีเวน อดัมส์ เป็นผู้เล่นรายที่สามของทีมที่สามารถสร้างประวัติศาสตร์การบล็อก และการทำแต้มได้สูงที่สุดในทีม

สตีเวน อดัมส์ หรือในชื่อเต็มเรียกว่า สตีเฟน ฟูนาคิ อดัมส์ เป็นชื่อเต็มที่ถูกตั้งขึ้นในประเทศนิวซีแลนด์ที่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตัวเขา พร้อมทั้งยังคงเป็นนักบาสเกตบอลที่มีสัญชาตินิวซีแลนด์ตามถิ่นเกิดอีกด้วย โดยเจ้าตัวได้เริ่มเล่นบาสเกตบอลในสมัยเรียนมัธยมที่ Wellington Saints ประเทศบ้านเกิด ก่อนที่จะตัดสินใจย้ายมาอาศัยอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2012 และได้ลงเล่นให้กับทีมมหาวิทยาลัย Pittsburgh ในปี 2013 และในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็ได้ถูกเลือกเป็นคนที่ 12 จากการดราฟท์ตัวเข้าสู่วงการบาสเกตบอลเอ็นบีเอ โดยทีมที่มีชื่อว่า โอกลาโฮม่า ซิตี้ธันเดอร์ ที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างตำนานที่น่าจดจำ

สำหรับเรื่องรอยสักที่ได้ถูกสลักจารึกไว้บนตัวของเขานั้น เป็นเรื่องของวัฒนธรรมในประเทศบ้านเกิดที่ได้ถูกสืบทอดกันมาอย่างช้านาน โดยรอยสักของเขานั้นมีชื่อเรียกว่า Funaki ซึ่งเป็นชื่อประจำตระกูลของเขาพร้อมทั้งยังเป็นชื่อที่ถูกเขียนไว้ในชื่อจริงอีกด้วย และนอกจากจะมีชื่อที่เรียกว่าฟูนาคิแล้ว รอยสักนั้นยังเป็นเครื่องหมายของนักรบประจำตระกูลที่มีรูปแบบไม่ซ้ำกัน ในแต่ละตระกูลของนิวซีแลนด์ เพื่อเป็นเครื่องหมายและเป็นเกียรติยศ สำหรับผู้ที่ได้รับตำแหน่งนักรบ ให้มีความน่าเกรงขรามและความแข็งแกร่ง ที่ใครเห็นแล้วจะต้องเคารพ อีกทั้งยังเป็นค่านิยมประเพณีของผู้คนในประเทศนิวซีแลนด์ ที่จำเป็นต้องสักตราหรือสัญลักษณ์ลวดลาย ที่แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ตามแต่ละท้องเรื่องราวของต้นกำเนิด ที่ได้เป็นจุดเริ่มต้นของตระกูลนั้น ๆ ให้ลูกหลานได้รับรู้ถึงเกียรติประวัติความเป็นมาอันยาวนาน

หลังจากที่ สตีเวน อดัมส์ ได้เข้าสู่เส้นทางศึกเกมส์ยัดห่วงเอ็นบีเอในปี 2013 จากการเลือกของทีมโอกลาโฮมา ซิตี้ธันเดอร์เป็นทีมแรกแล้ว ยังไม่เคยเทรดหรือได้เปลี่ยนทีมไปจากทีมนี้เลยจนถึงปัจจุบัน จึงทำให้เป็นผู้เล่นที่มีผู้ชมในทีมต้นสังกัดได้รักและชื่นชมเป็นอย่างมาก เหมือนกับได้เป็นรอยสักแห่งรากเหง้าประวัติศาสตร์และสัญลักษณ์ของทีมโอกลาโฮมา ที่ฝังรากลึกลงไปให้ตั้งมั่นอยู่อย่างขาดไม่ได้ เพื่อแสดงถึงความแข็งแกร่งอันน่าเกรงขามที่มาจากดินแดนนิวซีแลนด์อันไกลโพ้น

 

ราฮีม สเตอร์ลิง รอยสักแห่งแรงบันดาลใจและความเศร้าโศก

ในเรื่องราวชีวิตของแต่ละคน มีทั้งเรื่องที่ดีใจและเรื่องเสียใจ หลายคนเก็บมันเอาไว้ในความทรงจำ อีกหลายคนเก็บมันเอาไว้ในการจดบันทึกลงสมุด และอีกหลายคนที่เก็บมันเอาไว้โดยการสักบนร่างกาย เหมือนกับ ราฮีม สเตอร์ลิง ปีกซ้ายทีมชาติอังกฤษ ที่มีรอยสักของเรื่องราวทั้งสองด้านจากอดีตที่ผ่านมา

ด้วยอายุเพียง 17 ปี ราฮีม สเตอร์ลิง ได้มีโอกาสลงเล่นในลีกฟุตบอลอาชีพให้กับทีมลิเวอร์พูล ก่อนที่จะแสดงผลงานอย่างยอดเยี่ยมในการพบกับที แมนเชสเตอร์ซิตี้ จนได้ติดทีมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ และได้ลงเป็นตัวจริงอย่างต่อเนื่องหลังจากเกมส์นั้น ต่อมาด้วยการเล่นฟุตบอลที่ทำผลงานการเล่นใด้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ใด้มีโอกาสรับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี ในปี 2015 และเป็นทีมเรือใบสีฟ้า ที่เข้ามาตะครุบดาวรุ่งรายนี้ขึ้นเรือไป ด้วยค่าตัวที่มีมูลค่าสูงถึง 49 ล้านปอนด์หรือ 2.45 พันล้านบาท ด้วยสัญญา 5 ปี และได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลล่าสุด 2017-18

เรื่องราวกว่าจะถึงวันนี้ของราฮีม สเตอร์ลิง ได้แรงบันดาลใจมาจากที่ตนเองได้เห็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ยืนถือลูกบอลอยู่ที่หน้าสนามเวมบลีย์ และได้รู้สึกถึงแรงผลักดันของเด็กน้อยคนนั้น ที่ได้สื่อสารมาสู่ภายในใจของตนเอง ให้ต้องทำสิ่งที่ได้โอกาสอยู่ให้มากกว่านี้ จึงได้นำภาพในความทรงจำในวันนั้นมาสักลงไว้ที่แขนซ้าย เพื่อเป็นรอยสักที่ให้แรงบันดาลใจกับตัวเอง และเป็นกำลังใจในการเล่นฟุตบอลให้พัฒนาขึ้นต่อไป

นอกจากนี้อีกหนึ่งรอยสักที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางของราฮีม สเตอร์ลิง คือการได้ไปสักรูปปืนเอ็ม16 ที่หน้าแข้งขวา เนื่องจากมีสมาคมชาวอังกฤษ ซึ่งต่อต้านการใช้อาวุธปืนได้ร้องต่อเอฟเอ ให้ปลดนักเตะรายนี้ออกจาทีมชาติอังกฤษ เพราะการเป็นนักเตะทีมชาติควรเป็นแบบอย่างที่ดี และไม่ควรบูชาอาวุธปืน แต่ราฮีม ได้ให้เหตุผลว่ารอยสักที่เป็นรูปปืนบนขาขวานั้น เป็นการรำลึกถึงบิดาที่ถูกยิงเสียชีวิตไป เมื่อตอนที่ตัวเองอายุได้ 2 ขวบ และได้ให้คำมั่นสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะไม่แตะต้องอาวุธปืนอีกเลยตลอดชีวิต และจะใช้ขาขวาของตนเองเพื่อยิงลูกบอลเท่านั้น ซึ่งเอฟเอได้ยอมรับเหตุผลของราฮีม และได้ทำการสนับสนุนให้ติดทีมชาติ พร้อมกับเก็บตัวฝึกซ้อมอย่างจริงจังในฟุตบอลโลกที่กำลังจะมาถึง

ทั้งแรงบันดาลใจที่เปลี่ยนตัวเองให้ต้องพัฒนาขึ้นมากว่าเดิม ทั้งความเศร้าโศกที่เปลี่ยนกลายเป็นการยิงประตูเพื่อชัยชนะ ทั้งหมดกลายเป็นแรงผลักดันที่ถูกจารึกไว้เป็นรอยสักบนร่างกาย ที่จะสะท้อนเป็นสิ่งเตือนใจในทุกช่วงเวลาของชีวิตในวันข้างหน้า

 

เวสลีย์ ไชนเดอร์ รอยสักแห่งความโรแมนติก

รอยสักของแต่ละคนมักจะมีเรื่องราวซ่อนอยู่ แม้แต่ของนักฟุตบอลก็มีความหมายต่าง ๆ ซ่อนอยู่มากมาย นักฟุตบอลบางคนก็สักเพื่อพูดถึงนิสัยใจคอในสนาม หรือบางคนก็สักเล่าเรื่องความฝันในวัยเด็ก ความเหนื่อยยากที่กว่าจะประสบความสำเร็จ หรือแม้กระทั่งสักเพื่อตอบแทนความรักความศรัทธาที่มีต่อสิ่งรอบตัว พร้อมรวมไปถึงรอยสักเพื่อความทรงจำอันสุดแสนโรแมนติกในงานวันงานแต่งงาน ของ เวสลีย์ ไชนเดอร์

เวสลีย์ ไชนเดอร์ กองกลางแห่งทัพอัศวินสีส้มที่ดีที่สุดในโลก จากชุดรองแชมป์โลกปี 2010 ด้วยการวางบอลที่แม่นยำและการครองบอล ควบคุมเกมส์พร้อมทั้งการยิงที่เด็ดขาด ทำให้นักฟุตบอลรายนี้กลายเป็นหัวใจหลักของชาติฮอลแลนด์ที่ขาดไม่ได้ จุดเริ่มต้นการค้าแข้งของกองกลางระดับโลกเริ่มต้นกับทีมอาแจกซ์ อันเสตอร์ดัม ในปี 2002 ด้วยฝีมือการเล่นที่เพียบพร้อมในแดนกลางระดับพระเจ้า ทำให้ราชันย์ชุดขาว เรอัลมาดริด เจ้ายุโรปแห่งเสปน ได้ทำการซื้อตัวเข้าร่วมทีมเทวดาในปี 2007 และได้คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของเสปนในปีนั้น ก่อนถูกทีมงูใหญ่ อินเตอร์มิลาน ฉกมาร่วมทีมในอีก 2ปี ต่อมา พร้อมทั้งได้กวาดแชมป์มากมายกับอินเตอร์มิลาน

ในปี 2008  เวสลีย์ ไชนเดอร์ ได้ตกเป็นข่าวกับสาวสวย โยลันเธ คาบู ฟาน คาสเบอร์เกน ลูกครึ่งฮอลแลนด์-เสปน ดาราและพิธีกรชื่อดัง ของประเทศฮอลแลนด์ ก่อนที่จะหมั้นหมายกันในปี 2009 จนกระทั่งได้แต่งงานกันในปี 2010 ในวันที่ 17 กรกฎาคม ซึ่งอีก 6 วันหลังจากนั้นจะเป็นวันแข่งขันฟุตบอลรอบโลกชิงชนะเลิศของทีมชาติฮอลแลนด์อีกด้วย โดยการจัดงานแต่งงานในวันนั้น เต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวและมีแขกมาเข้าร่วมงานมากกว่า 250 คน มีการปล่อยนกพิราบร่วมกันหลังจากทำพิธีทางศาสนาเสร็จ และได้ใช้รถม้าแบบโบราณของทางประเทศฮอลแลนด์เป็นรถงานแต่งงาน เรื่องราวในวันนั้นกลายมาเเป็นความทรงจำที่พิเศษสุดของ เวสลีย์ ชไนเดอร์ ถึงแม้ว่าตนเองจะเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่งกับภรรยาคนเก่า แต่ก็ไม่อาจมีบรรยากาศที่พิเศษสุดแสนโรแมนติกและน่าประทับใจเท่าในครั้งนี้  จนได้เอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นทั้งหมดเก็บเป็นความทรงจำไว้บนรอยสักที่แขนด้านขวา โดยได้จารึกรอยสักรูปแหวนแต่งงานพร้อมกับวันที่แต่งงานสักลงบนแขนนั้นด้วย

รอยสักมากมายที่อยู่บนตัวของจอมทัพอัศวินสีส้ม ไม่มีรอยสักใดที่จะมีค่าไปมากกว่ารอยสักที่อยู่บนมือด้านขวา ของจอมทัพรายนี้ อีกทั้งยังเป็นสิ่งเตือนใจและทำให้หวนคิดถึงความรัก และความทรงจำที่สุดแสนโรแมนติก ที่จะสามารถนึกถึงได้ทุกครั้ง เมื่อได้มองไปยังแขนของตัวเอง

 

เวย์น รูนี่ย์ รอยสักแห่งความภาคภูมิใจ

หนึ่งในนักเตะกองหน้าสายเลือดผู้ดีจากประเทศอังกฤษ ผู้มีรูปร่างท้วมแต่มีความรวดเร็วปราดเปรียวในการเคลื่อนไหวอย่างดุดัน ซึ่งได้ทลายกำแพงด่านสุดท้ายอันแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้มานับไม่ถ้วน พร้อมกับได้กลายมาเป็นหัวใจหลักของทีมชาติอังกฤษ ทีมบ้านเกิดที่ภาคภูมิใจ เหมือนกับที่ได้นำมาสักไว้เป็นเกียรติยศบนหัวไหล่ขวาของตัวเอง

เวย์น รูนีย์ เริ่มต้นเล่นฟุตบอลให้กับชุดเยาวชนในทีมเอฟเวอตันด้วยอายุเพียง 11 ปี ก่อนที่จะใช้ความมหัศจรรย์ในฝีเท้า พาตัวเองขึ้นติดทีมเอฟเวอตันชุดใหญ่ด้วยวัยแค่ 16 ปีเท่านั้น และได้ทำประตูชัยให้กับทีมเอฟเวอร์ตัน เอาชนะทีมอาเซนอลมาได้ในช่วงนาทีสุดท้ายด้วยการยิงในระยะกว่า 30 หลา หลังจากนั้นในปีเดียวกัน เวย์น รูนีย์ มีโอกาสได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำปี 2002 อีกด้วย ต่อมาเส้นทางแห่งเกียรติยศของนักเตะพรสวรรค์รายนี้ก็ได้เริ่มขึ้น โดยการที่ สเวนโกรัน อิริคสัน นายใหญ่แห่งทีมชาติอังกฤษ ได้เรียกให้นักเตะอายุน้อยรายนี้ติดทีมชาติไปลุยศึกยูโร 2004 ที่โปรตุเกส ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ใหญ่ที่สุดในชีวิต เมื่อการเล่นของไอ้หนูมหัศจรรย์คนใหม่แห่งเกาะอังกฤษ เวนย์ รูนีย์ ได้แสดงผลงานกระชากลากเลื้อยและยิงประตูคู่ต่อสู้ได้ถึง 2 ประตู กลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุด ที่ลงเล่นให้กับทีมชาติและอายุน้อยที่สุด ที่ทำประตูได้ในนามทีมชาติ ก่อนที่จะมีคนอื่นมาทำลายสถิติในเวลาต่อมา

ความหวังเกิดขึ้นมากมายในหัวใจของชาวอังกฤษ จากการมาแสดงผลงานของไอ้หนูมหัศจรรย์ในยูโร 2004 ก่อนที่จะถูกดับลงในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ด้วยอาการบาดเจ็บกระดูกข้อเท้าแตก และอังกฤษได้ตกรอบในการดวลจุดโทษกับทีมชาติโปรตุเกสในเกมส์นั้น จากอาการบาดเจ็บที่ต้องพักยาวหลายเดือนในระหว่างนั้น เวย์น รูนีย์ ได้ตัดสินใจไปสักสิ่งที่เป็นความภาคภูมิใจที่ตนเองได้รับ ก่อนที่จะได้รับอาการบาดเจ็บคือการได้สักรอยสักของธงชาติอังกฤษ พร้อมทั้งลงสีให้เหมือนกับสีของธงจริง รวมถึงได้เพิ่มคำว่า ภูมิใจ เป็น ภาษาอังกฤษไว้ใต้ล่างรอยสักของธงเสริมเข้าไปอีกด้วย

ต่อมาในระหว่างที่พักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้ทำการตัดสินใจซื้อตัวกองหน้าดาวรุ่งคนนี้เข้าสู่ทัพปีศาจแดง แม้ว่ายังไม่หายจากอาการบาดเจ็บก็ตาม ซึ่ง เวย์ รูนีย์ ได้ตอบแทนด้วยการยิงแฮตทริกทันทีหลังจากที่หายอาการบาดเจ็บ และเป็นเกมส์นัดแรกที่ลงสนามให้กับทัพปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในศึกยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกส์ จนในเวลาต่อมา เวย์ รูนีย์ ได้กลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของทัพปีศาจแดง นอกจากนี้ เวย์ รูนีย์ ยังไม่เคยออกไปค้าแข้งยังต่างแดนแม้จะมีหลายทีมยักษ์ใหญ่ในต่างชาติให้ความสนใจ เพราะว่าความภาคภูมิใจในการเล่นให้กับประเทศอังกฤษลีกที่เป็นบ้านเกิด เป็นสิ่งที่เยี่ยมยอดที่สุดในชีวิตแล้ว เหมือนกับที่ได้ประกาศไว้ที่รอยสักบนหัวไหล่ซ้ายอย่างภาคภูมิใจ

และในฟุตบอลโลก 2018 ในปีนี้ ยังคงมีรายชื่อของนักฟุตบอลอดีตไอ้หนูนักเตะมหัศจรรย์ในปี 2002 รวมอยู่ด้วย ซึ่งคงเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจในชีวิตที่ได้ติดทีมชาติที่ตนเองได้สักไว้บนร่างกายอีกครั้ง

เยอโรม บัวเต็ง รอยสักแห่งคำภาวนา

หลายครั้งที่รอยสักแสดงถึงตัวตน รวมถึงเอกลักษณ์ของผู้ที่สัก และอีกหลายครั้งได้แสดงถึงความรักที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว แต่นอกเหนือจากนี้ รอยสักยังมีความหมายสำหรับบางคนในอีกแง่มุมของความต้องการ หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นแง่มุมของความศรัทธา ที่สถิตอยู่ที่แขนข้างซ้ายของนักเตะอย่าง เยอโรม บัวเต็ง

เยอโรม บัวเต็ง เป็นนักฟุตบอลที่มีสองสัญชาติ และสามารถจะเลือกติดทีมชาติใดก็ได้ หากถูกเรียกตัวจากทีมชาตินั้น ซึ่งได้แก่ทีมชาติเยอรมันและทีมชาติกานา แต่ตัว บัวเต็ง มีเพียงทีมชาติเดียวเท่านั้นที่เป็นจุดมุงหมายสูงสุดในชีวิต โดยจุดเริ่มต้นในอาชีพนักฟุตบอลลีกอาชีพของเยอโรม บัวเต็ง ก่อนที่จะติดทีมชาติ ได้เริ่มต้นด้วยการเป็นนักเตะชุดเยาวชนของทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุน เป็นทีมแรก และได้ทำการย้ายไปอยู่กับทีมเยาวชนของแฮธ่า เบอร์ลิน จนถึงอายุ 19 ปี จนได้เลื่อนขึ้นมาเป็นนักเตะชุดใหญ่ของทีมแฮธ่า เบอร์ลิน ในปี 2007 เพียงปีเดียวเท่านั้น เพราะต่อมาทีมฮัมบูร์ก ทีมจากลีกบุนเดสลีกา ในลีกเดียวกัน ได้ซื้อตัวไปร่วมทัพ เนื่องจากบัวเต็งไม่ต้องการที่จะทำสัญญาระยาวกับสโมสรแฮธ่า เบอร์ลิน ที่เสนอมาถึง 5 ปี และในปีเดียวกันนั้นเอง เป็นปีที่บัวเต็งตัดสินใจสักรอยสักรูปพระแม่มารีไว้ที่แขนขวา เพื่อเป็นเครื่องหมายของการภาวนาด้วยความศรัทธาสำหรับตัวเอง พร้อมทั้งเป็นคำภาวนาที่จะทำให้ไปถึงจุดหมายได้ในสักวันหนึ่ง จากนั้นเมื่อได้ย้ายไปอยู่ทีมฮัมบูร์ก ด้วยรูปแบบการเล่นอันแข็งแกร่งของปะการหลังรายนี้ ทำให้ไปเข้าตากับทีมมหาเศรษฐีในเวทีพรีเมียร์ลีกอย่างแมนเชสเตอร์ซิตี้ และได้จรดปากกาเข้าร่วมทัพเรือใบในปี 2010 โดยอยู่เล่นให้กับเรือใบสีฟ้าถึง 11 ปี หลังจากนั้นเสือใต้แห่งเยอรมัน บาเยินมิวนิค ได้ทำการซื้อตัวเยอโรม บัวเต็ง กลับมาพิชิตแชมป์หลายสมัยในศึกบุนเดสลีกาที่เยอรมันอีกครั้ง

ด้วยการเป็นประการหลังที่แข็งแกร่งในแบบที่คู่ต่อสู้จะผ่านได้ยาก ทำให้เยอโรม บัวเต็ง ได้ติดทีมชาติ เยอรมันชุดเยาวชนมาตั้งแต่อายุ 17 โดยมีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือทีมชาติเยอรมันชุดใหญ่ และด้วยการพัฒนาในการเล่นอย่างต่อเนื่องทำให้เยอโรม บัวเต็ง ได้ถูกเรียกติดทีมชาติชุดใหญ่ในปี 2010 สำหรับศึกฟุตบอลโลก นั่นหมายความว่าจุดมุ่งหมายสูงสุดได้สำเร็จลงแล้ว เหมือนกับว่ารอยสักที่ได้สักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายของคำภาวนาในชีวิตของ เยอโรม บัวเต็ง ได้ทำให้การเดินทางที่เฝ้ารอมานานได้มาถึงจุดหมาย

และนอกจากนี้ในฟุตบอลโลกปี 2018 ที่กำลังจะมาถึง เยอโรม บัวเต็ง ในวัย 29 ปีได้มีรายชื่อติดทีมชาติเยอรมันไปตลุยศึกฟุตบอลบอลโลกที่รัสเซียอีกด้วย หรืออาจเป็นเพราะคำภาวนาด้วยความศรัทธาที่มีต่อรอยสักรูปพระแม่มารีที่ได้นำมาสถิตย์บนแขนขวาในวันนั้น ทำให้ บัวเต็ง ได้มีโอกาสรับใช้ชาติในนามทีมชาติเยอรมันอีกครั้งในวันนี้

 

ดาเนียล เด รอสซี่  รอยสักนี้เพื่อลูก

เด รอสซี่ นักฟุตบอลสัญชาติอิตาลี ผู้ซึ่งติดทีมชาติมากที่สุดในโลก และยังเป็นนักเตะเจ้าของรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของประเทศอิตาลีอีกด้วย ด้วยแนวทางการเล่นฟุตบอลที่เรียกได้ว่าเป็นจอมโหดขาประจำบนสนาม ใครเลยจะคิดว่ามีรอยสักลายการ์ตูนเทเลทับบี้ สักอยู่บนแขนนักเตะขาโหดแบบนี้ได้

จากดาวรุ่งที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2006 กับทีมชาติอีตาลี และได้รับตำแหน่งนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ ลีกกัลโซ่ ซีเรียอา ลีกสุดของประเทศอีตาลีในปีเดียวกัน เด รอสซี่ เป็นนักเตะที่ไม่เคยย้ายสโมสรเลยนับตั้งแต่ได้เล่นให้กับสโมสร โรม่า  มาตั้งแต่เยาวชน โดยได้มีโอกาสลงเล่นให้กับทีม โรม่า ชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกส์ ในการพบกับทีมจากเบลเยียม แต่หลังจากนั้นยังไม่มีโอกาสได้ลงเล่นบ่อยครั้ง เนื่องจากในยุคนั้นเป็นยุคของนักเตะชื่อดังที่มีอยู่ในทีมมากมาย ทำให้ ฟาบิโอ คาเปลโล่ นายใหญ่ของทีมหมาป่าไม่ได้ให้โอกาสกับ เด รอสซี่ บ่อยนัก จนกระทั่ง ฟาบิโอ คาเปลโล ตัดสินใจอำลาถิ่นหมาป่าไปอยู่กับทีมม้าลายอย่างยูเวนตุส ทำให้เด รอสซี่ มีโอกาสมากขึ้นในการลงสนามในตำแหน่งกองกลางด้วยวัย 21 ปี และหลังจากนั้นเด รอสซี่ ได้บอกกับทุกคนในการให้สัมภาษณ์ว่า จะไม่มีการย้ายไปยังสโมสรอื่นใด เพราะต้องการอยู่ถิ่นหมาป่า เป็นราชาที่นี่เหมือนอย่างกับต๊อตติ ราชานักเตะผู้เป็นตำนานของสโมสรโรม่า

ด้วยแนวทางการเล่นที่เป็นจอมโหดแห่งวงการลูกหนังอีตาลี ที่บางครั้งก็สติหลุดจนถึงตบหน้าคู่แข่งขัน หรือแม้บางครั้งการเล่นที่เข้าหนักแบบถึงลูกถึงคนจนได้รับฉายาว่าจอมโหดประจำสนาม แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่ได้หมายถึงตัวตนทั้งหมดที่ได้แสดงออกมา เพราะด้วยเรื่องรอยสักแล้วเด รอสซี่ กับมีอารมณ์ของความน่ารักที่แอบซ่อนอยู่ภายในใจ เนื่องด้วยแขนขวาของ เด รอสซี่ ได้มีการสักรูปตัวการ์ตูนเทเลทับบี้สีเหลืองเอาไว้ ซึ่งบนตัวเทเลทับบี้นั้นมีรูปหัวใจอยู่ที่ท้องและมีตัวอักษรที่ได้เขียนชื่อลูกสาวของตนเองไว้ว่า กาญ่า อยู่ตรงกลางตรงหัวใจ พร้อมทั้งกำลังก้มดูเงาตัวเองในลำธารและมีจุกดูดนมปลอมสำหรับเด็กทารกไว้อีกด้วย ทั้งนี้ เด รอสซี่ กล่าวว่ารอยสักนี้เป็นรอยสักที่ทำเพื่อลูกสาวที่ได้ชื่นชอบในตัวการ์ตูนตัวนี้  และทุกครั้งที่ตนเองได้เห็นตัวการ์ตูนตัวนี้มักจะทำให้นึกถึงลูกสาวของตนเองในทุกครั้ง

นอกจากรอยสักที่มีความน่ารักซ่อนอยู่ในตัวแล้ว เด รอสซี่ ยังได้สักรูปห้ามเข้า ป้องกันโดยการสกัดที่ขาแบบรุนแรงไว้ที่ขาขวา เพื่อเป็นการบอกให้ทุกคนทราบว่า ถ้าหากใครเข้าทำการป้องกันที่รุนแรงจนเกินไป จะไม่มีทางได้รับความปรานีจากตนเองอย่างแน่นอน ทำให้รอยสักที่อยู่บนตัวของ เด รอสซี่ ยังคงมีการเล่าเรื่องราวที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเองอยู่ด้วยในฐานะจอมโหดแห่งกรุงโรม ราชาหมาป่าคนใหม่ และชายที่มีรอยสักเพื่อลูกรวมอยู่ด้วยกัน

 

ราอูล เมยเรเรส รอยสักแห่งความรัก

ราอูล เมยเรเลส นักเตะผู้เป็น ฮิปเสตอร์ ไอคอลแห่งวงการฟุตบอล ดีกรีกองกลางทีมชาติโปรตุเกส และอดีตนักเตะหงส์แดงลิเวอร์พูลกับเชลซี สองยักษ์ใหญ่แห่งเวทีพรีเมียร์ลีก ผู้ซึ่งหลงรักรอยสักมาตั้งแต่อายุ 18 จนปัจจุบันเรือนร่างของนักเตะรายนี้ไม่เหลือที่ให้สักเพิ่มอีกแล้ว

ราอูล เมยเรเรส หรือชื่อเต็มว่า ราอูล โจเซ่ ตรินดาเด เมยเรเรส นักฟุตบอลกอลกลางชาวโปรตุเกส ผู้ซึ่งได้เล่นกับทีมชาติมาแล้วมากกว่า 50 นัด โดยเริ่มค้าแข้งในวงการฟุตบอลกับทีมโบวิสตา ซึ่งเป็นทีมในบ้านเกิดของตัวเอง ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับทีมเดปอติวอ อาเวส ด้วยสัญญาการยืมตัวเป็นระยะเวลา 3 ปี และได้กลับมาอยู่กับทีมโบวิสตา เมื่อสัญญาการยืมตัวหมดลง ซึ่งในปีเดียวกันนั้นทีมเอฟซี ปอโต้  ยักษ์ใหญ่แห่งวงการฟุตบอลโปรตุเกสได้ตัดสินใจตกลงทำสัญญาซื้อตัวนักเตะกองกลางพรสวรรค์รายนี้เข้าร่วมทีม หลังจากนั้นด้วยความสามารถในการเล่นกองกลางที่ทำให้รูปแบบการเล่นของทีมมีสีสันมากขึ้นทั้งในการเล่นฟุตบอลให้กับทีมสโมสรและทีมชาติทำให้ทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูล ได้ตัดสินใจกระชากกองกลางพรสวรรค์รายนี้มาจากทีมเอฟซี ปอโต้ เข้ามาร่วมทีมในฤดูกาล 2011 แต่อยู่ได้เพียง 1 ปีก็ได้ถูกซื้อตัวไปโดยทีม สิงโตน้ำเงินคราม เชลซี  ด้วยการทำสัญญา 4 ปี และในปี 2016 ราอูล เมยเรเรส ได้ย้ายไปค้าแข้งให้กับทีม เฟเนบาเช่ ยักษ์ใหญ่แห่งตุรกีซึ่งเป็นทีมสุดท้ายในการค้าแข้งในฐานะนักฟุตบอลอาชีพจนอำลาวงการฟุตบอล

หลังจากอำลาวงการฟุตบอล ราอูล เมยเรเรส ยังคงเป็นที่รู้จักในวงการต่าง ๆ เนื่องจากการแต่งตัวที่มีรสนิยมแนวฮิปเสตอร์ จนได้รับฉายาจากสื่อต่างประเทศว่าเป็นฮิปเสตอร์ ไอคอล แห่งวงการฟุตบอล และนอกจากรสนิยมการแต่งตัวแล้ว รอยสักบนตัวของราอูล เมยเรเรส ที่ไม่มี่ที่ว่างเหลือให้สำหรับการสัก ยังเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนยังคงจดจำนักเตะรายนี้ได้อยู่เสมอ โดยรอยสักที่มีอยู่บนตัวของ ราอูล เมยเรเรส มีด้วยกันมากมายแต่สิ่งที่พิเศษมากกว่ารอยสักทั่วไปคือ การสักรูปใบหน้าของภรรยาและลูกสาวของเขาลงบนร่างกาย เนื่องจากเหตุผลที่ตัวเองหลงรักรอยสักมาตั้งแต่อายุ 18 และทุกสิ่งที่สักบนร่างกายโดยส่วนใหญ่นั้นเป็นสิ่งที่ตนเองรักและชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพศิลปะกะโหลกที่หน้าอก หรือมังกรแดงตัวใหญ่ที่แผ่นหลัง ดังนั้นภรรยาและลูกสาวคือสิ่งที่ตัวเองรักมากที่สุดในชีวิต จึงได้นำภาพของทั้งสองมาสักไว้บนร่างกายด้วย

และนอกจากที่ราอูล เมยเรเรส ได้หลงรักรอยสักที่ได้สักลงบนร่างกายของตัวเองแล้ว ยังได้นำน้ำหมึกบนเรือนร่างของตัวเองเข้าสู่มูลนิธิศิลปะ เพื่อระดมทุนช่วยเหลือการวิจัยโรคมะเร็งอีกด้วย จึงถือได้ว่ารอยสักที่อยู่บนตัวของ ราอูล เมยเรเรส นั้นเป็นรอยสักที่เปี่ยมไปด้วยความรักอย่างแท้จริง

 

ไนเจล เดอ ยอง รอยสักแห่งนักรบ

ไนเจล เดอ ยอง นักฟุตบอลกลองกลางเอนกประสงค์ ขาโหดของทีมชาติอัศวินสีส้ม ผู้ซึ่งผ่านการรับใช้สโมสรมาแล้วกว่า 5 ลีกชั้นนำทั่วโลก ด้วยแนวทางการเล่นฟุตบอลที่มีความดุดันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้เป็นที่ต้องการของหลายต่อหลายทีม เหมือนกับรอยสักบนตัวที่มีความหมายว่า “นักรบ”

จุดเริ่มต้นของนักรบบนผืนหญ้าสีเขียว ได้เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งจากลีกบ้านเกิดในประเทศฮอลแลนด์ ในการลงเล่นฟุตบอลอาชีพให้กับสโมสร อาแจ็กซ์ อันสเตอร์ดัม ก่อนที่จะย้ายไปเล่นให้กับสโมสร ฮัมบูร์ก ในลีกเยอรมันอันแข็งแกร่งเป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้นการเล่นที่เข้าตาทีมมหาเศรษฐีน้ำมันจากเกาะอังกฤษ หรือทีมเรือใบสีฟ้าแมนเชสเตอร์ซีตี้ ทำให้ ไนเจล ถูกซื้อตัวเข้ามาร่วมทัพเพื่อสร้างเส้นทางสู่การพิชิตแชมป์ จนในเวลาต่อมาเมื่อสัญญาหมดลง ไนเจล เดอ ยอง ได้ตัดสินใจไปเล่นให้กับทีมปีศาจแดงดำ เอซีมิลาน เป็นเวลา 4 ปี จนครบสัญญา จึงได้ย้ายออกไปอยู่กับทีม แอลเอ กาแลคซี่ ทีมรวมดาวดังจากยุโรปแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเองทีมกาลาตาซารายยักษ์ใหญ่แห่งตุรกีได้จรดปากกาเซ็น ไนเจล เดอ ยอง เข้าร่วมทีมต่อจาก แอล เอ กาแลคซี่ จวบจนปัจจุบันด้วยความดุดันในการเล่นที่ยังคงมีอยู่ในตัว ทำให้ทีม ไมนซ์ จากศึกบุนเดสลีกาได้ทำสัญญากับกองกลางพันธุ์ดุรายนี้เข้าร่วมทัพจนจบฤดูกาลที่ผ่านมา

ด้วยการเล่นที่ดุดันไม่เกรงกลัวคู่ต่อสู้และมีแนวทางที่เด็ดขาดเฉพาะตัว ทำให้กองกลางรายนี้ตัดสินใจเลือกรอยสักที่มีความเข้ากับตัวเอง โดยได้แรงบันดาลใจในการเลือกรอยสักที่เป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมในประเทศอินโดนีเซีย ที่มีความหมายว่านักรบ ซึ่งมีลวดลายเป็นรูปดอกไม้ขนาดใหญ่ที่มีความสวยงามราวกับท่วงท่าในการต่อสู้และมีความแข็งแกร่งผสมผสานดั่งโล่ที่มีเหล็กกล้ารวมอยู่ในรอยสักนั้น นอกจากนี้ลวดลายรอยสักบนตัวของ ไนเจล เดอ ยอง ที่สื่อถึงนักรบแล้ว ภาพรวมของรอยสักทั้งหมดบนตัว ยังมีความหมายถึงนักสู้อีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนในการเล่นฟุตบอลที่มีแนวทางของตนเองได้เป็นอย่างดี

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของนักเตะสายเลือดดัชต์ผู้นี้ นอกจากการเล่นที่เป็นที่ยอมรับจากหลายลีกชั้นนำแล้วว่าแข็งแกร่ง ยังบ่งบอกว่านักเตะผู้นี้เป็นนักเตะที่มีสายเลือดนักสู้ในการค้าแข้งของอาชีพนักฟุตบอลอย่างแท้จริงอีกด้วย เพราะอาการบาดเจ็บหลายต่อหลายครั้ง ที่ทำให้นักเตะรายนี้ต้องออกไปพักรักษาตัวอย่างยาวนาน จนไม่คิดว่าจะกลับมาเล่นได้อย่างแข็งแกร่ง แต่ก็สามารถกลับมาเล่นได้แข็งแกร่งอีกครั้ง ราวกับรอยสักแห่งนักรบที่อยู่บนร่างกายได้ผลักดันให้นักเตะรายนี้ได้ยืนหยัด เพื่อกลับมาให้ต่อสู้ได้เสมอไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม จวบจนปัจจุบันปี 2018 ไนเจล เดอ ยอง มีอายุ 33 ปี และยังคงเป็นนักเตะอาชีพใน บุนเดสลีกา ลีกอันดับหนึ่งอันแข็งแกร่งของประเทศเยอรมัน

 

ชาริล ชัปปุยส์ เทพบุตรฟุตบอลไทย กับรอยสักแห่งชีวิต

ในปี 2014 เป็นปีที่ฟุตบอลทีมชาติไทยกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนานหลายปี เนื่องจากได้คว้าอันดับที่ 4 ในการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ปี 2014 ที่ประเทศเกาหลีใต้ และยังได้กลับมาคว้าแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ได้สำเร็จในปีเดียวกัน ซึ่งในปีนั้นทำให้มีนักฟุตบอลดาวรุ่งรุ่นใหม่ฉายแสง แจ้งเกิดในนามฟุตบอลทีมชาติไทยหลายต่อหลายคน ซึ่งหนึ่งในนั้นที่เป็นนักฟุตบอลที่มีคนชื่นชอบมากที่สุดก็คือ ชาริล ชัปปุยส์ นักเตะทีมชาติไทยลูกครึ่งสวิตเซอร์แลนด์

ด้วยหน้าตาอันหล่อเหลาของนักเตะรายนี้ ทำให้วงการฟุตบอลทีมชาติไทย ทวีความนิยมมากขึ้นในบรรดาหมู่อิสสตรีของประเทศ ซึ่งปกติไม่ได้ให้ความสนใจในฟุตบอลทีมชาติไทยมากนัก นอกเหนือจากทักษะที่ยอดเยี่ยมในการเล่นฟุตบอลและใบหน้าอันหล่อเหลาแล้ว ชาริล ยังมีรอยสักที่เป็นศิลปะที่งดงาม และมีความหมายที่ลึกซึ้งไม่แพ้กัน

โดยรอยสักที่เป็นลายแรกในชีวิตของ ชาริล เป็นรอยสักของวันที่ 15 เดือนพฤศจิกายน ปี 2009 ซึ่งเป็นตัวเลขของวันในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ของทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งชาริล ได้เป็นนักเตะชุดเยาวชนทีมชาติในชุดนั้นด้วย จากนั้นในเวลาต่อมา ชาริล ได้สักรอยสักรูปฟุตบอลลงที่ข้อศอกซ้าย โดยมีภาพใบหน้าของตัวตลกหรือโจ๊กเกอร์ กับใบหน้าของคนที่เศร้าหมองรวมอยู่ด้วยกัน เพื่อเป็นเครื่องหมายเตือนใจในวันที่บาดเจ็บอย่างหนักของตนเอง หลังจากจบฟุตบอลโลกที่ผ่านมาได้ครึ่งปี จากอาการกระดูกข้อเท้าแตกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้ระลึกถึงว่าในชีวิตมีทั้งช่วงเวลาที่ดีและมีช่วงเวลาที่แย่รวมอยู่ด้วยกัน อีกทั้งยังมีรอยสักที่เป็นความทรงจำในวัยเด็กตรงน่องด้านขวา ที่มีการสักตัวการ์ตูนที่ชื่นชอบอย่าง ดราก้อนบอล มาริโอ กัปตันสึบาสะ โดนัลดั๊ก รวมไปถึงสไปร์เดอร์แมนที่ทำหน้าที่เป็นผู้รักษาประตู พร้อมทั้งมีคำภาษาอังกฤษที่เขียนไว้ว่า “Never Give Up in yours Dreams” ซึ่งแปลเป็นไทยว่า “อย่ายอมแพ้ในความฝันของคุณ”  และนอกจากนี้ยังมีศิลปะที่ทดแทนความรู้สึกถึงทั้งคุณพ่อและคุณแม่ที่ต้นขาทั้งสองข้าง โดยได้สักรูปช้างไว้ที่ต้นขาด้านขวา เป็นสัญลักษณ์ของคุณแม่ในนามทีมชาติไทย และต้นขาด้านซ้ายเป็นรูปหมาป่าพร้อมกับภูเขาสวิตเซอร์แลนด์ที่ เป็นสัญลักษณ์ทีมชาตสวิสเซอร์แลนด์ในด้านของคุณพ่ออีกด้วย

จากจุดเริ่มต้นของรอยสักที่ได้แรงบันดาลใจมาจากพี่สาว รอยสักที่มีทั้งหมดในร่างกายของ ชาริล ตอนนี้ต่างมีเรื่องราวและความทรงจำที่ได้บรรยายไว้เป็นเรื่องเล่าเฉกเช่นเดียวกับเรื่องราวตัวตนในชีวิตของ ชาริล ที่มีเส้นทางเดินตามความฝันในชีวิตเป็นของตัวเอง วันนี้เหลือเพียงแขนด้านขวาเท่านั้นที่ยังไม่มีรอยสักศิลปะที่งดงามวาดอยู่ เพราะ ชาริล ตั้งใจเก็บเอาไว้เล่าเรื่องราวของชีวิต หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตหลังแต่งงานกับคนที่ตนเองรักในอนาคต

 

อารอน แรมซีย์ กับรอยสักแห่งความศักดิ์สิทธิ์

รอยสักกับนักกีฬาฟุตบอลเป็นเหมือนสิ่งที่เกิดมาคู่กัน นักกีฬาโดยส่วนใหญ่ที่เป็นนักฟุตบอลอาชีพมักจะมีรอยสักที่เป็นศิลปะเฉพาะแบบที่สำคัญของแต่ละบุคคล เพื่อเอาไว้เล่าเรื่องราวที่น่าประทับใจ หรือเก็บเป็นความทรงจำที่เป็นสัญลักษณ์ไว้ให้ติดอยู่กับตัว รวมไปถึงการได้แสดงออกถึงตัวตนในแบบที่ไม่เหมือนใครด้วยศิลปะรอยสักที่น่าจดจำ

อารอน แรมซีย์ นักเตะตัวเก่งจากทีมอาร์เซนอลแห่งเวทีพรีเมียร์ลีก เป็นนักเตะที่มีฝีมือและทักษะที่ไม่ธรรมดา โดยเป็นกองกลางซึ่งสามารถยิงได้สูงสุดต่อเนื่องถึง 13 ประตู จากการแข่งขัน 19 นัด ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุขาหักในการพบกับทีม สโต๊ค ในปี 2010 และเป็นอุบัติเหตุที่ได้รับอาการบาดเจ็บอย่างหนักที่สุดในชีวิต โดยที่อาจจะไม่สามารถมีโอกาสกลับมาลงสนามเล่นฟุตบอลได้อีกครั้ง

ในระหว่างที่เข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บอย่างหนักที่บริเวณขาซ้าย อารอน แรมซีย์ ได้แรงบันดาลใจจากการอธิษฐานภาวนาต่อสิ่งที่ตนเองศรัทธา จึงได้ตัดสินใจไปสักรอยสักภาพของสวงสวรรค์พร้อมกับภาพนักบุญไมเคิล หรือ มีคาแอล เป็นรอยสักที่ได้สักสถิตย์ไว้ตรงบริเวณขาที่ได้รับการรักษา เนื่องจากต้องการให้ปกป้องขาของตนเองจากอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต รวมถึงทำให้มีความเชื่อมันว่าจะสามารกลับมาโลดแล่นบนผืนหญ้าได้อีกครั้ง จนกระทั่งในปี 2011 คำอธิษฐานเริ่มบังเกิดผล อารอน แรมซีย์ ได้กลับมามีชื่อเป็นตัวสำรองให้กับทีมอาร์เซนอลอีกครั้งในการไปเยือนทีม เอฟเวอร์ตัน ที่ถิ่นกูดิสันพาร์ค ก่อนที่จะแพ้ไปด้วยสกอร์ 0-3 หลังจากนั้น อารอน แรมซีย์ สามารถพิสูจน์ตัวเองจนได้รับความเชื่อถือ และเชื่อใจให้กลับมาลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมส์รอบรองชนะเลิศของศึกเอฟเอคัพ ซึ่งเป็นฝ่ายทีม อาร์เซนอล ที่ได้รับชัยชนะเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศจากการดวลจุดโทษ ต่อมาในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพ อารอน แรมซีย์ ยังคงได้รับความไว้วางใจให้ลงเล่นเป็นตัวจริงในการพบกับทีมฮัลล์ซิตี้ และด้วยความสามารถหรือปาฏิหาริย์ในเกมส์นั้น อารอน แรมซีย์ ได้เป็นผู้ซัดประตูชัยให้กับทีม อาร์เซนอล ได้รับชัยชนะในนัดชิงชนะเลิศของช่วงต่อเวลาพิเศษในนาทีที่ 109 ทำให้ทีมอาเซนอลชนะไปด้วยสกอร์ 3-2 และได้รับรางวัลชนะเลิศเป็นสมัยที่ 11 มากที่สุดเทียบเท่ากับทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ อารอน แรมซีย์ เหมือนกับเรื่องราวปาฏิหาริย์ในนิยาย ที่หายจากอาการบาดเจ็บที่ไม่รู้ว่าจะสามารถกลับมาเล่นได้อย่างเดิมหรือเปล่า แต่คำตอบที่เกิดขึ้นในการลงเป็นตัวจริง และได้พิชิตชัยชนะเหนือฮัลล์ซิตี้ในรอบชิงชนะเลิศ พร้อมทั้งเป็นคนทำประตูให้ทีมได้รับชัยชนะ แสดงให้เห็นถึงคำตอบของคำถามที่เกิดขึ้นระหว่างรักษาตัวได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งพิสูจน์ให้รู้ว่าทักษะที่ถูกฝังอยู่ในตัวยังคงสามารถกลับมาโลดแล่นบนผืนหญ้าในระดับโลกได้อีกครั้ง หรือในความเป็นจริงทั้งหมดอาจจะเป็นเพราะว่าคำภาวนาและนักบุญไมเคิล ที่อยู่ในรอยสักซึ่งได้สถิตอยู่กับ อารอน แรมซีย์ ที่ขาซ้ายจึงทำให้เขากลับมาได้ในวันนี้