โพลีนีเซียน แทททู รอยสักแห่งชาวทะเลใต้

ถ้าจะพูดถึงรอยสักที่ปัจจุบันได้รับความนิยมมากรูปแบบหนึ่ง ก็คือรอยสักแบบชาวโพลีนีเซียน ซามัว และเมารี ซึ่งเป็นการสักหมึกดำที่ดูแล้วมีเอกลักษณ์ มีเสน่ห์และสวยงาม

นักกีฬาและดารานักแสดงดังอย่าง “เดอะร็อค” ดเวย์ จอห์นสันได้ทำให้ลวดลายรอยสักแบบโพลีนีเซียนได้รับความนิยมมาก หลังจากที่มันปรากฏบนหนังและสื่อต่าง ๆ รอยสักของดเวย์ จอห์นสันเหมือนเขาสวมเกราะไหล่เอาไว้ เมื่อบวกกับรูปร่างแบบนักกีฬาร่างใหญ่ มันทำให้เขาดูเหมือนเป็นนักรบที่เก่งฉกาจคนหนึ่ง ภาพลักษณ์นี้ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยพากันเดินเข้าร้านสักเพื่อสร้างลวดลายเลียนแบบดาราคนโปรด รวมไปถึงลวดลายที่ใกล้เคียงกัน

สิ่งที่ทำให้รอยสักแบบโพลีนีเซียนได้รับความนิยมมาจากลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งสามารถเป็นไปได้ตามจินตนาการของผู้ออกแบบ แต่หากลงลึกไปถึงเรื่องราวรอยสักตามความเชื่อของชาวโพลีนีเซียนแล้ว ร่างกายของพวกเขาก็เหมือนภาชนะสำหรับพิธีกรรม มีความเชื่อเกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติที่เรียกว่า Mana รวมไปถึงความเชื่อเกี่ยวกับความมืด ความตาย ความอุดมสมบูรณ์ ความสุข เรื่องความเชื่อนี้ถูกถ่ายทอดเป็นเรื่องราวบนเส้นสายของรอยสักที่ส่งผ่านกันจากรุ่นสู่รุ่น และที่สำคัญมันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกชนชั้นของพวกเขาไปในตัว โดยทุกเส้นสายนั้นจะบอกเล่าถึงตัวตนของเจ้าของ ประสบการณ์และชัยชนะ การต่อสู้หรือเรื่องสำคัญอื่น ๆ

การที่ชาวโพลีนีเซียนถูกยกย่องว่าเป็นนักเดินทะเลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด (เหนือนักรบไวกิง) ทำให้มีปรากฏลวดลายของรอยสักที่เกิดขึ้นกับลูกหลานชาวโพลีนีเซียนกระจัดกระจายอยู่ทั่วหมู่เกาะทะเลใต้ ตั้งแต่ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี ฟิจิ ซามัวหรือตาฮิติ อาจจะเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์และความเป็นเอกลักษณ์ไปบ้าง แต่ก็ยังคงสื่อถึงความเชื่อเกี่ยวกับพลังแห่งธรรมชาติ รวมไปถึงนำลวดลายตามธรรมชาติ สัตว์น้ำ พืชพันธุ์มาเป็นรูปแบบของลวดลายด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น การเดินทางของบรรพบุรุษชาวโพลีนีเซียนยังไกลมาถึงหมู่เกาะฮาวายซึ่งอยู่ห่างไปแสนไกล แต่ลวดลายของรอยสักที่เรียกได้ว่ามีที่มาจากแหล่งเดียวกันคือเครื่องบ่งชี้ความสัมพันธ์ระหว่างชาวเกาะทะเลใต้กับชาวฮาวายได้เป็นอย่างดี

ปัจจุบันรอยสักแบบชาวเผ่าทะเลใต้หรือแบบชาวโพลีนีเซียนถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวาง มันเป็นรอยสักที่ดูดี มีเอกลักษณ์ที่สวยงาม รวมไปถึงสามารถสร้างสรรค์ได้อย่างไม่จำกัด ทั้งในการสักคลุมพื้นที่กว้างอย่างไหล่หรือแขน สามารถสร้างให้ออกมาเป็นทรงเรขาคณิต หรือสร้างมิติต่าง ทั้งยังทำเป็นเส้นสายที่สามารถดัดหรือเสริมได้ตามใจ รวมไปถึงการสักเพื่อบดบังลวดลายเก่าที่ไม่ต้องการ โดยการลงเส้นและแทบสีดำสนิทปิดภาพเก่าได้ด้วย

รอยสักของชาวโพลีนีเซียนนั้นเกิดจากการตีซ้ำในจุดที่ต้องการสร้างลวดลายหรือสร้างสี โดยใช้น้ำหมึกที่ได้จากยางและสารในธรรมชาติ ซึ่งแตกต่างจากกระบวนการสักด้วยเข็มในปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับที่เรื่องราวของลวดลายที่แพร่หลายในวงการสักก็เป็นเพียงแค่รูปแบบของลวดลายเท่านั้น ไม่ใช่ความหมายตามสิ่งที่รอยสักแบบเผ่าของชาวโพลีนีเซียนเคยเป็น

บราซิล ชิลเดรน ดรีม ฝันเดียวกันของเด็กชายชาวบราซิล

ฟุตบอลเป็นกีฬาอันดับหนึ่งของบราซิล ประเทศที่ส่งออกนักเตะมากที่สุดในโลก เหตุผลที่ทำให้ฟุตบอลกลายเป็นกีฬาอันดับหนึ่งนั่นเพราะเด็กชายชาวบราซิลทุกคนเชื่อว่า ฟุตบอลคือเครื่องนำพาชีวิตพวกเขาไปจากความยากจนและชีวิตที่ต่ำต้อยได้

แม้นักเตะบราซิลจะมีมากมาย แต่วงการฟุตบอลอาชีพของบราซิลเองก็ไม่ได้มีพื้นที่ว่างมากพอให้ทุกคนได้กลายเป็นดาวเด่น พวกเขาจะต้องทำให้ตัวเองเก่งกว่าและมีความสามารถมากกว่าคนอื่นเพื่อคว้าโอกาสดี ๆ ดังนั้นแม้แต่ในเวทีฟุตบอลข้างถนน เด็กทุกคนจึงทุ่มเทสุดความสามารถ เผื่อจะไปเข้าตาแมวมองที่เดินปะปนท่ามกลางผู้คนทั่วไปอยู่ให้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะอาชีพ และยิ่งยากกว่าในการประสบความสำเร็จระดับสูง ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปถึงพวกเขาเล่นดีและได้รับความสนใจจากต่างประเทศ

รอยสัก “Children Dream” ไม่แน่ชัดว่าเริ่มต้นจากใคร แต่มันเป็นรูปแบบที่ชัดเจนว่าจะต้องเป็นเด็กผู้ชายถือลูกฟุตบอลยืนหันหลัง เบื้องหน้าของเขาอาจจะเป็นหมู่อาคาร สลัม หรือสภาพชีวิตอันแร้นแค้น ยากจน เหนือขึ้นไปมีวงความฝันซึ่งประกอบด้วยสามสิ่งคือ การได้ลงเล่นฟุตบอลอาชีพ การมีบ้านและการได้แชมป์ฟุตบอลโลก

เนย์มาร์ กองหน้าค่าตัวแพงที่สุดในโลกของปารีส แซงต์ แชร์กแมงและกาเบรียล เฆซุส กองหน้าอายุน้อยของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นสองดาวเตะทีมชาติบราซิลที่กลายเป็นสตาร์ดังในเวทียุโรปต่างมีรอยสักชิลเดรน ดรีม ในรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน โดยครั้งหนึ่งพวกเขาได้อวดรูปถ่ายรอยสักคู่กัน เพื่อแสดงหลักฐานถึงการต่อสู้กว่าจะมาถึงจุดนี้

ไม่ใช่แค่นักเตะบราซิลที่มีชื่อเสียงโด่งดังเท่านั้นที่เป็นเจ้าของรอยสักบราซิล ชิลเดรน ดรีม แต่ความหมายของรอยสักนี้ก็ทำให้นักเตะอังกฤษอย่างราฮีม สเตอริ่ง ดาวเด่นของสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้เลือกสักลวดลายทำนองเดียวกันเพื่อสะท้อนถึงการต่อสู้ของเขาที่ไม่ต่างจากเด็กชาวบราซิลด้วย

“บราซิล ชิลเดรน ดรีม” เป็นลวดลายที่ได้รับความนิยมไม่น้อย เพราะมันเป็นเครื่องบอกเล่าถึงที่มาของผู้เป็นเจ้าของ อย่างดิโอโก้ ซานโตส เรงเจิ้ล นักเตะที่มาค้าแข้งในประเทศไทยก็เป็นอีกคนที่เลือกสักแนวคิดนี้ลงบนร่างกายของเขา เรงเจิ้ลมีรูปเด็กชายยืนถือลูกบอลอยู่บนท้องถนนในประเทศบราซิล เบื้องหน้าของเขาคือตึกที่ขึ้นกันอย่างเบียดเสียด เหนือขึ้นไปคือพระเจ้าที่ประทานพรแก่เขา ซึ่งมันถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบของออร่าที่กำลังส่องลงมาที่ตัวเด็กชาย

ข้อความ “My Go is the god of impossible” ปรากฏบนรูปภาพแทนความหมายว่า เส้นทางที่เขาจะไปนั้นคือพระเจ้าแห่งความเป็นไปไม่ได้ สิ่งนี้สะท้อนออกมาในความพยายามที่จะผลักดันตัวเองสู่โอกาสที่ดีกว่า เพราะหลังจากที่ได้มาเล่นฟุตบอลกับทีมโอสถสภาในไทยลีก และทีมสงขลาเขามีโอกาสเล่นให้ทีมชาติติมอร์-เลสเตช่วงสั้น ๆ ก่อนถูกตัดสินว่าการโดนสัญชาติของนักเตะบราซิลตอนนั้นเป็นโมฆะ ปัจจุบันเรงเจิ้ลกลับไปลงเล่นฟุตบอลในบ้านเกิดที่บราซิลอีกครั้ง

มีเด็กน้อยชาวบราซิลมากมายที่เลือกบันทึกเรื่องราวของพวกเขาไว้ในรอยสักชิลเดรน ดรีม แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะก้าวข้ามไปสู่จุดหมายความฝัน แต่รอยสักนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันถึงเส้นทางที่พวกเขาได้พยายามแล้วในการดิ้นรนพาตัวเองไปสู่จุดที่ดีกว่าของชีวิต

รอยสักมวยไทย ความเชื่อความศรัทธาที่กลายเป็นความนิยมระดับนานาชาติ

ศิลปะการต่อสู้มวยไทยได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่มาเรียนรู้ศิลปะมวยไทยเท่านั้น แต่ชาวต่างชาติบางคนพัฒนาจนกลายเป็นนักมวยไทยอาชีพ ซึ่งนอกจากจะเรียนรู้การต่อสู้แล้ว พวกเขายังได้เรียนรู้ความเชื่อตามแบบวิถีคนไทยและนักมวยไทย รวมถึงเรื่องของการสักด้วย

ในมุมมองชาวต่างชาติที่มองเรื่องการสักเป็นเพียงความสวยงามหรือความชอบเท่านั้น แต่เมื่อมาเรียนรู้เรื่องหมัดมวยในประเทศไทย พวกเขาได้มิติอื่นของรอยสักว่ามันมีการสักยันต์เพื่อเหตุผลทางใจที่เกิดจากความเชื่อทางศาสนาด้วย เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับรอยสักพวกพระเจ้า พระเยซูหรือปีศาจต่างๆ ที่ชาวตะวันตกนิยม รอยสักยันต์ของไทยมีความหมายและความขลังมากกว่า

เดิมทีรอยสักหรือการสักยันต์ของไทยปรากฏเกี่ยวข้องกับทางศาสนา ทั้งเรื่องสักเพื่อเพิ่มอำนาจบารมี สักเพื่อความอยู่ยงคงกระพัน โดยการใช้ทั้งการสักแบบโบราณด้วยเข็มติดปลายไม้ไผ่ น้ำหมึกพิเศษที่มีสีดำ รวมถึงการบริกรรมคาถาระหว่างการสักด้วย นักรบไทยสมัยโบราณจึงมีรอยสักประดับร่างกายในฐานะเครื่องคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย แม้เวลาผ่านมาการสักยันต์ก็ยังคงได้รับความนิยม แต่เปลี่ยนแนวทางไปสู่รูปแบบที่เน้นเหตุผลเฉพาะเช่น สักเพื่อเป็นพุทธ  คุณ สักเป็นเมตตามหานิยม

รอยสักยันต์ที่นักมวยไทยและนักมวยต่างชาติชื่นชอบมากในปัจจุบันคือการสักรอย “ฮะแทว” หรือที่เรียกกันว่าสักรอย 5 แถว เป็นรอยสักที่มีลักษณะเป็นแถวยาว 5 แถวซึ่งดูสวยงามในตัวเอง ไม่มากไป ไม่น้อยไป แถมมีฤทธิคุณศักดิ์สิทธิ์มาก ให้ทั้งความคุ้มครอง มอบความสุขและความสำเร็จแก่ผู้สวมใส่รอยสักนี้ มันจึงได้รับความนิยมในหมู่ศิลปิน ดาราด้วย

อีกหนึ่งรอยสักที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในหมู่นักมวยและคนทั่วไปคือการสัก “9 ยอด” หรือปราสาท 9 ยอด เป็นการจำลองยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 9 อันได้แก่เข้าพระสุเมรุและบริวารนั่นเอง รอยสักนี้มีลักษณะเป็นเรขาคณิต ทำให้มันเป็นอีกลวดลายที่ดูแล้วไม่เลอะเทอะ และความที่มันมีคุณในการคุ้มครองจากวิญญาณชั่วร้ายต่างๆ และช่วยให้ชีวิตประสบความสุข ยันต์ 9 ยอดจึงเป็นที่นิยมมาก

นอกจากสองลวดลายดังกล่าวแล้ว อีก ลายสักยันต์ที่ชาวต่างชาติซึ่งมาหัดมวยไทยนิยมสักไว้คุ้มครองตัวได้แก่ รอยสักเสือผ้ายันต์ ซึ่งเป็นรอยสักที่นับได้ว่าสวยงามที่สุดรอยสักหนึ่ง เป็นรอยสักที่มีความสมดุลแบบซ้ายขวาเท่ากัน  เมื่อสักเพียงลวดลายเดียวบนแผ่นหลังก็เกิดความสวยงามแล้ว

รอยสักหนุมานก็เป็นอีกหนึ่งรอยสักที่บรรดานักมวยชื่นชอบ ซึ่งรอยสักหนุมานนี้มีความหลากหลายของลวดลายและท่าทางมาก ทั้งแผลงศร ยึดศร จับอาวุธ มีตั้งแต่ 2 กรไปถึง 8 กร มีความสวยงามในท่วงท่าลีลาทั้งอ่อนช้อยและน่าเกรงขาม มันจึงกลายเป็นหนึ่งรอยสักยันต์ที่ครองใจนักมวยไทยทั้งหลายและสืบต่อไปถึงนักมวยต่างชาติด้วย

ศิลปะมวยไทยนอกจากจะช่วยส่งต่อเอกลักษณ์เกี่ยวกับการต่อสู้แล้ว ในเชิงความเชื่อความศรัทธาที่ถ่ายทอดผ่านรอยสักต่างๆ ชาวต่างชาติที่ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจก็พบว่ามันมีความลึกซึ้งกว่ารอยสักแบบทั่วไปที่พวกเขาเคยนิยมหรือได้เป็นเจ้าของมา จากที่เคยมองว่ารอยสักแบบไทยดูเท่ห์ แปลกตา เมื่อได้สัมผัสถึงที่มาและความหมาย ตลอดจนสรรพคุณในการคุ้มครอง รักษาและส่งเสริม มันจึงกลายเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจที่ชาวต่างชาติยินดีครอบครอง

ชาริล ชัปปุยส์ สตาร์ลูกครึ่งที่พาแฟชั่นรอยสักบูมในวงการฟุตบอลไทย

ในฐานะนักฟุตบอลที่มีหน้าตาหล่อเหลาเป็นทรัพย์ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ชาริล ชัปปุยส์ ลูกครึ่งไทยสวิต-เซอร์แลนด์ กลายมาเป็นดาวเด่นในสายตาคนไทยทันที เมื่อเขาตกลงใจย้ายจากยุโรปมาเล่นให้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดในปี 2556 และต่อมาก็ก้าวขึ้นมาติดทีมชาติชุดได้แชมป์ซีเกมส์ที่เมียนมา ต่อด้วยอันดับสี่ เอเชียนเกมส์ที่เกาหลีใต้ และแชมป์อาเซียนคัพในปี 2557 ชัปปุยส์คือสตาร์ดาวรุ่งที่พุ่งแรงที่สุดคนหนึ่งของช่วงเวลาดังกล่าว

นอกจากรูปร่างหน้าตาแบบเด็กหนุ่มลูกครึ่งที่โดนใจสาว ๆ จนได้ก้าวมาสู่การเป็นนายแบบโฆษณาสินค้าหลายชิ้น หนึ่งในความโดดเด่นของชาริล ชัปปุยส์คือการที่เขามีรอยสักบนท่อนแขนขวาอย่างโดดเด่นหลังความแชมป์ในปี 2557 ผิดกันกับนักเตะไทยรายอื่น ๆ ที่มักสักไว้ในส่วนที่ปิดไว้มิดด้วยเสื้อฟุตบอลหรือถุงเท้า

แขนขวาของชัปปุยส์มีรอยสักแบบชาวโพลีนีเซียนที่เป็นที่นิยมอย่างมาก ซึ่งเมื่อมันปรากฎภาพในโฆษณาผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่เขาถูกว่าจ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์ มันก็กลายเป็นที่ฮือฮา หลังจากนั้นสื่อต่าง ๆ ก็ให้ความสนใจนำเสนอเรื่องราวของรอยสักบนร่างกายของชัปปุยส์และนักกีฬาฟุตบอลรายอื่น ๆ ทั้งลีซอ ธีรเทพ วิโนทัย, ชาคริต บัวทอง หรือประหยัด บุญญา ซึ่งที่จริงแล้วนักเตะไทยหลายรายก็มีความชอบในการสักแต่มันไม่เป็นที่สนใจเท่านั้นเอง

หนึ่งรอยสักที่โดดเด่นของยอดนักเตะลูกครึ่งสวิตฯ ที่เป็นที่สนใจคือรอยสักบนน่องซ้ายซึ่งเป็นรูปรวมตัวการ์ตูนที่มีทั้งมาริโอ บรอส์, ปิกาจู, ซง โกคูจากดราก้อนบอล, โดนัลด์ ดั๊ก, ซิมป์สันและเรื่องราวจากกัปตันซึบาสะ โดยมีการดีไซน์แบบผสมตัวละครกับช่องเฟรมเหมือนคอมิกส์ แน่นอนว่ารอยสักดังกล่าวได้รับการคุ้มครองในรูปแบบลิขสิทธิ์เสียด้วย

ชัปปุยส์ประสบความสำเร็จมากมายในระหว่าง 2 ปีแรกที่มาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลในเมืองไทย จนกระทั่งเขาเกิดอาการบาดเจ็บจากการกระโดดดีใจแล้วลงผิดจังหวะ หลังจากนั้นเขาต้องพักยาวเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่เริ่มต้นจาก 1-2 เดือนกลายเป็นเกือบปี เมื่อกลับมาลงสนามอีกครั้ง ผลงานของชัปปุยส์ก็ไม่กลับมาเข้าฟอร์มเดิม นอกจากจะหลุดจากทีมชาติแล้วเจ้าตัวยังต้องโยกย้ายออกจากสโมสรบุรีรัมย์ไปอยู่ที่สุพรรณบุรีหลังโดนผู้เล่นรายอื่นทำผลงานแซงหน้า

ที่สุพรรณบุรีนี่เองที่ชัปปุยส์มีรอยสักใหม่เป็นรูปช้างบนแผนที่ประเทศไทย เขาเล่าถึงรอยสักรูปช้างว่ามีความชื่นชอบในความยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งของมัน ช้างเป็นสัตว์ตัวโปรดของเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ ทุกครั้งที่กลับมาเมืองไทยเขาก็จะไปเยี่ยมชมหมู่บ้านช้างกับครอบครัวอยู่เสมอ เมื่อถึงวันที่เขาบาดเจ็บหนัก รอยสักที่เขาเลือกจึงเป็นรูปช้างและประเทศไทยที่เขารัก พร้อมทั้งหวังว่ามันจะช่วยปกปักรักษาไม่ให้เขาได้รับบาดเจ็บอีก

ความโด่งดังของชัปปุยส์นั้นไม่มีอะไรนิยามได้ดีเท่ากับฐานะสามีแห่งชาติ เพราะเขาเป็นขวัญใจของสาวน้อยสาวใหญ่สาวแท้สาวเทียมทั้งประเทศ รอยสักของชาริลเองก็ได้รับความสนใจ และมันได้เปลี่ยนมุมมองของสาว ๆ ที่มีต่อรอยสักจากที่เคยรู้สึกไม่ชอบ รู้สึกว่ารอยสักมีแต่คนไม่ดีเท่านั้นที่สัก มันกลายเป็นว่าทุกอย่างบนร่างกายของชัปปุยส์ดูเท่ห์ ดูแล้วสวยงามไม่น่าเกลียดเลย แถมยังทำให้เกิดการแห่ตามไปสักรอยบนร่างกายด้วย

ต้องยอมรับว่าชาริล ชัปปุยส์คือนักฟุตบอลพรสวรรค์ที่มาพร้อมมุมมองเรื่องรอยสักใหม่ของแฟนบอลไทย การที่เขาเป็นนักเตะที่แฟนบอลไทยเข้าถึงได้ และเป็นขวัญใจของผู้คน รอยสักจากที่เคยถูกมองไม่ดีก็เปลี่ยนเป็นรสนิยมใหม่ที่ถูกยอมรับว่าสวยงามแทน

รอยสักชาวเผ่าโอลิมปิก สิ่งที่จะเปลี่ยนมุมมองสังคมญี่ปุ่นไปตลอดกาล

โอลิมปิก กีฬาแห่งมวลมนุษยชาติจะวนลูปกลับมาอีกครั้งในปี 2020 โดยมีญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ สองครั้งล่าสุดมันเกิดปรากฏการณ์ความสนใจที่มีต่อรอยสักเพิ่มสูงขึ้นมากทั้งในริโอ 2016 และลอนดอน 2012 เมื่อบรรดานักกีฬาต่างพร้อมใจกันนำเสนอรอยสักทั้งเล็กและใหญ่ ไม่ใช่แค่เฉพาะลวดลายรูปวงแหวนโอลิมปิกห้าห่วงเท่านั้น แต่มันครอบคลุมไปถึงรอยสักขนาดใหญ่ที่เป็นจุดสนใจของผู้คนราวกับเป็นแฟชั่นอีกอย่างหนึ่งขอโอลิมปิกไปเลย

นักกีฬาจำนวนมากที่ปฏิเสธการมีรอยสัก แต่หากจะเลือกสักรอยเพื่อใช้เป็นที่ระลึกแล้ว ไม่มีสัญลักษณ์ใดน่าภูมิใจเท่าการจารึกว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกมาแล้ว

แต่ที่ประเทศญี่ปุ่น เจ้าภาพของโอลิมปิกครั้งต่อไป วัฒนธรรม ความเชื่อ และค่านิยมของพวกเขาที่มีต่อรอยสักถูกส่งต่อภาพลักษณ์ด้านลบมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการที่ถูกสังคมมองว่ารอยสักเป็นเรื่องราวของกลุ่มคนไม่ดีอย่างยากูซ่า หรือไม่ก็นักเลงอย่างพวกชาวแก๊งค์ต่าง ๆ มุมมองเชิงลบที่มีต่อคนที่มีรอยสักทำให้เกิดจารีตต้องห้าม เช่น การห้ามคนมีรอยสักใช้สระว่ายน้ำสาธารณะ การห้ามใช้ห้องแช่บ่อน้ำร้อนร่วมกับคนทั่วไป ซึ่งกรณีนี้มันเลยเถิดไปถึงชาวต่างชาติอย่าง อีเรน่า เท บรีเวอตัน นักเรียนทุนจากนิวซีแลนด์ที่ถูกห้ามลงบ่อน้ำร้อนในฮอกไกโด เนื่องจากรอยสักแบบเมารีบนใบหน้าของเธอ

โยชิฮิโตะ นากาโน่ หรือที่รู้จักกันในฉายา “โฮริโยชิ ที่ 3” ยอดนักสักคนดังชาวญี่ปุ่นวัย 72 ปี เขาคือนักสักเต็มตัวตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เรียกว่า Irezumi หรือ Horimomo มาอย่างยาวนาน เขาไม่ได้เกี่ยวพันกับยากูซ่า แต่หลงใหลในสีสันและลวดลายที่ได้เห็นจากรอยสักของคนเหล่านั้นตั้งแต่อายุแค่สิบกว่าขวบ ถึงขนาดว่าต้องดั้นด้นไปขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของช่างสักระดับตำนานที่ชื่อ โยชิซึกุ มูรามัตซึ ชายที่ถูกเรียกว่าเป็น Shodai Horiyoshi of Yokohama หรือผู้ก่อตั้งสมาคมสักแห่งโยโกฮาม่า ที่นั้นนากาโน่ได้เรียนจากชายผู้เป็นโฮริโยชิ รุ่นที่ 2 ทำให้เขาได้สืบทอดตำแหน่งรุ่นที่ 3 ในเวลาต่อมา เมื่อฝีมือเป็นที่ประจักษ์ นากาโน่ หรือโฮชิโยริ รุ่น 3 ก็ได้ทำงานสายนี้ เขาสร้างรอยสักทั้งคนในโลกด้านมืดและคนในโลกปกติ

นากาโน่มองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นเมื่อโอลิมปิกที่โตเกียวเริ่มต้นขึ้น โดยเฉพาะในวันที่ความพยายามเรียกร้องให้การสักรอยเป็นสิ่งผิดกฎหมายในญี่ปุ่น หากไม่สามารถแสดงใบอนุญาตทางการแพทย์เพื่อสร้างผลงานเหล่านั้น ในขณะที่นักสักต่างมองว่ามันเป็นวัฒนธรรมที่แตกต่างไป มันไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวงการแพทย์เสียหน่อย

“จะมีนักกีฬาและนักท่องเที่ยวมากมายมาที่ญี่ปุ่นในช่วงเวลาดังกล่าว พวกเขามีรอยสักที่มันมาจากต่างวัฒนธรรม มันจะเป็นอย่างไรถ้าคนเหล่านั้นไม่ได้นับอนุญาตลงฝึกซ้อมหรือทำกิจกรรมเพราะติดข้อห้ามเรื่องรอยสัก? สังคมจะมองเรื่องนี้แบบไหน?” เป็นคำถามที่นากาโน่ถามเผื่อไปถึงทัศนคติเรื่องการสักของสังคมชาวญี่ปุ่น

บรรดานักกีฬาและนักชมกีฬาที่จะเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกในปี 2020 บางคนจะไปเปิดเผยรอยสักในฐานะสมาชิกผู้มีส่วนร่วมในการแข่งขันครั้งแรก บางคนเป็นครั้งที่สอง และบางคนมากครั้งกว่านั้น พวกเขามาด้วยความภาคภูมิใจที่จะมีสัญลักษณ์ห่วงทั้งห้าบนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ในวันที่การสักเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่ง บางคนจะได้นำเสนอรอยสักที่เป็นทั้งความทรงจำ ความศรัทธาและความเชื่ออันงดงามของพวกเขา

โอลิมปิก 2020 บนแผ่นดินญี่ปุ่นที่มีจารีตและความเชื่อด้านลบเกี่ยวกับคนที่มีรอยสักจะได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนไปตลอดกาล

ลูคัส ดีญ ผมไม่เคยเดินเดียวดายในเมืองที่คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย

ในเมืองลิเวอร์พูลมีสองสีจากสองสโมสรฟุตบอลใหญ่ หนึ่งคือสีแดงของลิเวอร์พูล และอีกหนึ่งคือสีน้ำเงินของเอฟเวอร์ตัน ในสายตาของคนนอกที่อาจจะได้ยินชื่อเสียงของลิเวอร์พูลมากกว่าจะแบ่งพวกเขาเป็นที่หนึ่งหรือที่สอง แต่สำหรับคนเมืองนี้พวกเขาต่างก็เป็นที่หนึ่ง และอีกทีมคืออีกหนึ่งเสมอ

ลิเวอร์พูลเติบโตก้าวไปไกลกว่าในอาณาจักรฟุตบอลที่ครอบคลุมไปทั่วโลก สโลแกนของพวกเขาที่ว่า You’ll never walk alone กลายเป็นวลีอมตะ ดังนั้นหากใครสักคนที่เปลี่ยนแปลงถ้อยคำนี้ไป เขาต้องไม่ใช่แฟนบอลลิเวอร์พูลแน่นอน และ ลูคัส ดีญนักเตะหน้าใหม่ของเอฟเวอร์ตันคือใครคนนั้น

ไม่กี่วันหลังมีข่าวผู้เล่นสัญชาติฝรั่งเศสรายนี้ย้ายจากบาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่ในสเปนมาอยู่เอฟเวอร์ตันตอนก่อนเปิดฤดูกาล 2018 นี้เอง มีคนตาดีไปสังเกตเห็นรอยสักพาดบนหน้าอกของดีญในตอนที่เขาเข้ารับการตรวจร่างกาย ข้อความนั้นเขียนว่า “I Never Walk Alone” แล้วจากนั้นก็เกิดเป็นไวรัลเรื่องนี้บนโลกโซเชียล เดือดร้อนดีญต้องออกมาเฉลยว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับอีกสโมสรร่วมเมืองที่ชื่อลิเวอร์พูลเลย แม้ว่าเขาจะถูกตามจีบจากสโมสรสีแดงมาแล้วถึงสองครั้งก็ตาม

ผมปฏิเสธการย้ายไปอยู่กับพวกเขาตั้งสองรอบเชียวนะดีญหมายถึงการที่เขาเลือกย้ายจากลีลล์ไปปารีส แซงต์ แชร์กแมงในครั้งแรก และย้ายไปบาร์เซโลน่าในครั้งที่สอง ซึ่งเป็นการเลือกปฏิเสธคำชักชวนจากสโมสรลิเวอร์พูล

คำอธิบายที่ดีญเลือกกล่าวถึงเรื่องรอยสักนี้เกี่ยวข้องกับวัยเด็กของเขา ในตอนสามหรือสี่ขวบที่เขาไปโรงเรียนครั้งแรก พ่อกับแม่สวมสร้อยคอที่มันเขียนคำนี้ไว้ จนกระทั่งอายุ 18 เขาก็ตัดสินใจสักข้อความนี้ไว้บนหน้าอก มาถึงตรงนี้ดีญเชื่อว่าแฟนบอลลิเวอร์พูลที่ไม่รู้ความจริงของมันก็คงนึกโกรธเพราะเขาเซย์ โนใส่ทีมที่พวกนั้นรักตั้งสองครั้งสองครา

You’ll never walk alone เสมือนบทเพลงประจำชาติของชาวหงส์แดง บทเพลงนี้เริ่มต้นมาจากเพลงของริชาร์ด ร็อดเจอร์กับออสการ์ แฮมเมอร์สไตน์ที่ 2 ที่ช่วยกันบรรจงแต่งขึ้นมาในปี 1945 สำหรับใช้ในละครเพลง Carousel ละครเพลงเรื่องที่สองที่พวกเขาจัดแสดง หลังจากนั้นอีก 18 ปี แกรี่ แอน เดอะ พีชเมกเกอร์ วงบอย กรุ๊ป สไตล์เดียวกันกับวงเดอะ บีทเทิ้ลก็เอามันมาขับร้องใหม่ในสไตล์ปัจจุบันและมันขึ้นติดท็อป ชาร์ตเพลงในปี 1963

บิล แชงค์ลี่ย์คือผู้จัดการทีมคนสำคัญที่รับเอาเพลงนี้เข้ามาสู่สโมสรอย่างเป็นทางการ ทีแรกก็เป็นแค่เรื่องราวของคนในสโมสรและแฟนบอล แต่ในอีก 2 ปีให้หลัง เมื่อแฟนบอลลิเวอร์พูลร้องเพลงนี้หลังเกมเอาชนะลีดส์ในนัดชิงเอฟเอคัพ 1965 ที่เวมบลีย์ เคนเน็ธ โวลส์เท่นโฮล์ม คอมเมนเตเตอร์ในวันนั้นพูดขึ้นมาว่า นี่มันเป็นลายเซ็นทางเสียงของสโมสรลิเวอร์พูลเลยนะ

ตั้งแต่นั้นมาเรื่องราวของบทเพลง You’ll never walk alone ก็สืบสานผ่านการร้องของเหล่าแฟนบอลลิเวอร์พูล แล้วก็ขยายไปเป็นเพลงประจำของอีกหลายสโมสรในยุโรป กลายเป็นแรงบันดาลใจให้อีกหลายสโมสรและหลายชาติสร้างเพลงที่เป็นธีมของพวกเขาขึ้นมา แต่หากพูดถึง You’ll never walk alone แล้วก็ต้องนึกถึงลิเวอร์พูลเป็นอันดับแรกนั่นแหละ

ลูคัส ดีญ กับข้อความที่เพี้ยนไปจากประโยคที่คนทั้งโลกรู้จัก กลายเป็นความสงสัยใคร่รู้ แม้คำอธิบายว่ามันเกิดขึ้นจากข้อความบนสร้อยคอเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว และเขาก็สักมันตั้งแต่ตอนอายุ 18 ด้วย มันจะเป็นไปได้ไหมว่าแท้จริงแล้วเขาแค่จำข้อความผิด และที่จริงแล้วมันคือข้อความเดียวกัน

แดเนี่ยล แอกเกอร์ จากลูกหนังสู่ช่างสัก

อาชีพพ่อค้าแข้งถูกเข้าใจดีโดยตัวนักเตะว่ามันเป็นเวลาเพียงช่วงสั้น ๆ ของชีวิตเท่านั้น เมื่อถึงวันหนึ่งอายุขัยและร่างกายจะบอกคุณเองว่าถึงเวลาต้องเลิกราจากมันแล้ว เมื่อนั้นแหละที่เส้นทางใหม่ในชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป

แดเนี่ยล แอกเกอร์ เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่หนีไม่พ้นเรื่องราวเดียวกันนี้ หลังจากได้มีโอกาสเล่นฟุตบอลให้กับสโมสรลิเวอร์พูล สโมสรในดวงใจ มันก็เหมือนจุดสูงสุดในอาชีพนักฟุตบอลถูกทำจนสำเร็จแล้ว ระหว่างปีท้าย ๆ แอกเกอร์รู้ดีว่าวันหนึ่งการได้ใช้เวลาในสโมสรแห่งนี้จะสิ้นสุดลง และเขาต้องจากไป

เส้นกราฟชีวิตของแอกเกอร์เดินทางอย่างสวยหรู เริ่มต้นชีวิตฟุตบอลที่บรอนด์บี้ สโมสรในเมืองเกิด โชว์ฟอร์มได้ดีจนถูกตาแมวมองของสโมสรลิเวอร์พูลในอังกฤษ ได้ย้ายไปเล่นที่ลิเวอร์พูลตั้งแต่ปี 2006-2014 ปี พร้อมกันนั้นก็ติดทีมชาติเดนมาร์ก พอถึงวันหนึ่งเส้นทางอาชีพนักเตะก็จบลงเหมือนคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าได้ และในปี 2016 กับอายุเข้าเลข 3 แดเนี่ยล แอกเกอร์ก็ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอย่างเต็มตัว มันเป็นช่วงหลังย้ายจากลิเวอร์พูลที่เขาใช้เวลารับใช้สโมสรนานถึง 8 ปี เพื่อกลับมาเล่นช่วงสั้น ๆ ให้กับบรอนด์บี้ สโมสรแรกในบ้านเกิดที่เดนมาร์ก

ระหว่างที่อยู่ลิเวอร์พูล แอกเกอร์ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ให้ความสนใจรอยสักมาก เขามีรอบสักไวกิ้งบนแขนขวาและตลอดแผ่นหลัง ตลอดจนข้อความทั้งในแบบภาษาเดนมาร์กและภาษาอังกฤษบนตัวและแขน โดยในแต่ละปีร่างกายของเขาจะถูกอุทิศให้กับการสักลวดลายต่าง ๆ ลงไป ซึ่งพอถึงตอนที่เขาต้องอำลาสโมสรลิเวอร์พูลอันเป็นที่รัก ร่างกายของแอกเกอร์ก็มีรอยสักอยู่เต็มทุกพื้นที่ รวมไปถึงตัวอักษร YNWL และนกไลฟ์เวอร์เบิร์ดบนหลังนิ้วมือขวา ที่ซึ่งจะเตือนใจถึงช่วงเวลาที่รับใช้สโมสรไปจนชั่วชีวิต

ในช่วงปี 2012-2013 แดเนี่ยล แอกเกอร์เผชิญช่วงยากลำบากเมื่อมีอาการบาดเจ็บต่อเนื่องจนไม่ค่อยได้ลงสนาม แอกเกอร์ก็เลยได้มีเวลาคิดหางานสำหรับอนาคตหลังจากเลิกเล่น เขาย้อนมาทบทวนตัวเองว่านอกจากฟุตบอลแล้วมีอะไรทีเขามีความสุขกับมันบ้าง คำตอบที่แอกเกอร์พบคือการทำงานเกี่ยวกับงานสัก เมื่อค้นพบความชอบในเรื่องนี้ แอกเกอร์ไม่รอช้าที่จะลงเรียนการสักอย่างจริงจัง และเมื่อพร้อมกับการเริ่มต้นธุรกิจใหม่และอาชีพใหม่ แอกเกอร์ก็หาแนวร่วมในการเปิดร้านรับสักที่เดนมาร์ก เขาร่วมกับเพื่อนสนิทอย่างคริสเตียน สตาดิล เจ้าของแบรนด์ชุดกีฬาฮัมเมลและช่างสักมือดีชาวอเมริกัน-อียิปต์ อามี่ เจมส์ ภายใต้ชื่อ Tattodoo ปรากฏว่ามันไปได้สวย แพลตฟอร์มของ Tattodoo กลายเป็นผู้นำเทรนด์ของรอยสักใหม่ ๆ บนโลกโซเชี่ยลที่ถึงตอนนี้มีคนเขามาใช้งานมากกว่า 20 ล้านคน

ไม่ใช่แค่เรื่องของรอยสัก แอกเกอร์ยังมองถึงการลงทุนอย่างอื่นไปด้วย และเห็นช่องทางบางอย่าง ก่อนเริ่มต้นลงทุนธุรกิจกำจัดของเสียและปฏิกูลในสเปน ภายใต้ชื่อ KloAgger โดยลงทุนเงินกับพี่ชาย ลุงและเพื่อนในวัยเด็กของเขา มันไปได้สวยพอดูสำหรับธุรกิจนี้เช่นกันหลังเริ่มต้นมันในปี 2015

เจย์ อาจายี่ ลอนดอนเนอร์ในหัวใจ

ในฐานะคนอังกฤษ เจย์ อาจายี่ไม่ได้เป็นนักกีฬาคนดังที่คนอังกฤษรู้จักมากนัก แถมเขายังไม่เคยมีตัวตนสำหรับคนอังกฤษด้วยซ้ำ ทำไมน่ะหรือ? นั่นก็เพราะความดังของเขามันอยู่ที่อีกทวีปหนึ่งต่างหาก

ในเกมซุปเปอร์โบวล์ครั้งที่ 52 ซึ่งเป็นครั้งล่าสุด ฟิลาเดลเฟีย อีเกิ้ลตัวแทนจากฝั่ง NFL สามารถปราบนิวอิงแลนด์ แพทริอ็อตตัวแทนฝั่ง AFC ได้ 41 ต่อ 33 หลังจบเกมผู้คนได้เห็นเจย์ อาจายี่คลุมธงยูเนี่ยนแจ็ควิ่งเฉลิมฉลองไปกับเพื่อนร่วมทีม มันทำให้คนอังกฤษได้รับรู้ความมีตัวตนในฐานะคนอังกฤษของเขา

เจย์ อาจายี่เกิดในครอบครัวชาวไนจีเรียอพยพทางตะวันออกของลอนดอนเมื่อ 24 ปีที่แล้วในวันที่ 15 มิถุนายน 1993 ก่อนที่พ่อแม่จะพาเข้าย้ายไปอยู่รัฐแมรี่แลนด์ที่สหรัฐอเมริกาตอนเขาอายุ 7 ขวบ การเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสังคมอเมริกันทำให้กีฬาที่เขาเลือกเอาดีคืออเมริกันฟุตบอลที่มันสามารถต่อยอดไปสู่อนาคตที่ดีได้ ไม่ใช่เกมซอคเก้อร์ที่คนอเมริกันแทบไม่มอง ที่สำคัญต่อให้รักฟุตบอลแค่ไหน แต่เขาจะหาเพื่อนได้อย่างไรถ้าทุกคนเล่นอเมริกันฟุตบอลกันหมด

บนเส้นทางสายคนชนคน อาจายี่ก้าวตามสเต็ปด้วยการเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัยของบ้อยซ์ สเตทก่อนถูกดราฟท์เข้าร่วมทีมอาชีพโดยไมอามี่ ดอลฟินส์ในปี 2015 เขาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมจนติด 100 ผู้เล่นดีที่สุดของฝั่ง NFL ในลำดับที่ 69 แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้คนอังกฤษรู้จักเขาอยู่ดี

ฤดูกาล 2017 อาจายี่เริ่มต้นกับไมอามี่ ดอลฟินส์ได้สวย เขาลงเล่นไป 7 เกมและทำผลงานดีพอใช้ แต่พอเดือนตุลาคมซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงทีมกลางฤดูกาลเขาถูกเทรดย้ายจากดอลฟินส์ไปอยู่กับพิลาเดลเฟีย อีเกิ้ลอย่างน่าประหลาดใจ แต่ก็อาจจะเป็นชะตาที่กำหนดโดยพระเจ้าที่เขาศรัทธา ที่นี่เองที่เขาก้าวขึ้นมาถึงการเป็นแชมป์ซุปเปอร์โบวล์ร่วมกับเพื่อนร่วมทีมในอีก 5 เดือนต่อมา กล้องทีวีจับภาพที่เขาเอาธงชาติเครือจักรภพมาคลุมไหล่วิ่งไปทั่ว และนั่นเป็นช่วงเวลาที่คนอังกฤษได้รู้แล้วว่ามีคนเกิดที่อังกฤษแต่มาคว้าแชมป์อเมริกันฟุตบอลอยู่ตรงนี้อีกคน

ก่อนเดินทางมาอเมริกา อาจายี่ก็เหมือนเด็กลอนดอนทั่วไปที่หลงใหลเกมฟุตบอล เขามีอาร์เซน่อลเป็นสโมสรหนึ่งเดียวในใจ เมื่อผู้คนเริ่มสนใจตัวตนของอาจายี่มากขึ้น พวกเขาก็ได้พบว่าอาจายี่เดินทางมาเชียร์อาร์เซน่อลทีมรักหลายครั้ง เขาสวมหมวกไหมพรมลายธงยูเนี่ยนแจ็คใบโปรดอยู่เสมอ ที่สำคัญเขาสักหอนาฬิกาบิ๊กเบนไว้แทนความทรงจำว่าเป็นชาวลอนดอนเนอร์กับเขาอีกคนไว้บนไหล่ขวา แม้ว่าจะจากมานานมากแล้วก็ตาม ซึ่งมันก็เข้าคู่กันกับรูปเทพีเสรีภาพที่อยู่บนไหล่ซ้ายเพื่อแสดงถึงประเทศที่เติบโตมา และตัวอักษร H ตัวใหญ่บนกล้ามแขนขวาที่เขาบอกว่าย่อมาจากชื่อย่านแฮกนี่ย์ (Hackney) ที่เขาเกิด

ฟิลาเดลเฟีย อีเกิ้ลถูกวางโปรแกรมให้มาเปิดฤดูกาล 2018 กับแอตแลนต้า ฟอลคอนส์ ที่เวมบลีย์ตอนต้นเดือนกันยายนตามการทำสัญญาขยายตลาดของอเมริกันฟุตบอล อาจายี่เดินทางกลับมาลอนดอนอีกครั้งในแบบที่แตกต่างไป ด้วยการมีฐานะเป็นแชมป์ซุปเปอร์โบวล์ที่เกิดในลอนดอนคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์ ในที่สุดเขาก็ได้ย่างเท้าลงมายังจุดเริ่มต้นเพื่อสัมผัสสนามที่เขาใฝ่ฝัน

“รักแรกของผมคือฟุตบอล คุณเข้าใจใช่ไหมว่ามันคือไอ้ลูกกลม ๆ ในฐานะเด็กอังกฤษที่โตมาในอเมริกา ผมยังจำความฝันวัยเด็กได้นะว่าอยากติดทีมชาติอังกฤษ อยากยิงประตูที่เวมบลีย์ หรือไม่ก็เล่นให้อาร์เซน่อล นี่มันบ้ามากที่ผมมาในฐานะนักอเมริกันฟุตบอล รู้สึกแปลก ๆ แต่มันก็พิเศษไปเลยเหมือนกัน” อาจายี่ให้สัมภาษณ์สื่อไปแบบนี้ระหว่างกลับมาลอนดอนในฐานะคนดัง

อังเดร เกรย์ กับรอยสักรูปเหล่านักสิทธิพลเมือง

แผ่นหลังของนักกีฬาหนึ่งคนบอกเล่าเรื่องราวแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักสักอะไรบางอย่างเพื่อใช้แทนความทรงจำ หรือไม่ก็เพื่อต้องการระลึกถึงอะไรบางอย่าง แต่จะมีกี่คนที่สักในสิ่งที่บ่งบอกถึงอุดมการณ์ของตัวเอง

อังเดร เกรย์เกิดที่วูล์ฟแฮมตันในปี 1991 เติบโตขึ้นมาอย่างยากลำบากและสุ่มเสี่ยงที่จะมีชีวิตบนโลกด้านมืด เขาโชคดีที่มีพอจะมีฝีเท้าในเชิงลูกหนังและมีโอกาสได้ฝึกฝนในอะคาเดมี่ของวูล์ฟแฮมตันเมืองบ้านเกิด แต่พออายุ 13 ปี เขากลับโดนปล่อยตัวจากทีมอะคาเดมี่ แต่สิ่งนี้เกรย์ก็ไม่ได้แยแส เขาเลือกเดินทางไปทดสอบฝีเท้าที่ชรูว์บิวรี่ ทาวน์ ได้เข้าอะคาเดมี่และเซ็นสัญญาเป็นนักเตะในเวลาต่อมา

และไม่นานเขาก็โดนให้ออกจากทีมชรูว์บิวรี่ ซึ่งเช่นเคยเขายักไหล่ให้กับมันและออกหาทีมที่สนใจจ้างกองหน้าที่ยิงประตูเป็น ด้วยฝีเท้าที่ดีทำให้ต่อมาเกรย์ได้เล่นให้ทีมนอกลีกอย่างเทลฟอร์ด ยูไนเต็ดและฮิ้นซเลย์ ยูไนเต็ด ทว่าทุกที่เต็มไปด้วยความไร้จุดหมายสำหรับชีวิตนักเตะพาร์ทไทม์ของอังเดร เกรย์ เมื่อเขาพึงพอใจแค่การได้ลงเตะและมีคนจ่ายค่าแรงให้ไปวัน ๆ

แล้วจุดเปลี่ยนทางความคิดเกิดขึ้นเมื่อเขาหันมามองตัวเองในฐานะนักเตะอาชีพ มันกลายเป็นจังหวะที่เขาค้นพบว่าไม่มีอะไรสำคัญในชีวิตไปกว่าการได้เป็นนักเตะอาชีพเต็มตัว การเป็นนักฟุตบอลเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สร้างชีวิตของเขาให้ดีขึ้นไปได้ จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง การฝึก การลงแข่งก็กลายเป็นสิ่งที่มีความหมาย และเมื่อเขาเดินบนเส้นทางที่ถูก อังเดร เกย์ค่อย ๆ ไต่ระดับทีมขึ้นมาจากลูตัน ทาวน์ ทีมนอกลีกในปี 2012 เบรนด์ฟอร์ด ทีมระดับลีกวันในปี 2014 ต่อด้วยเบิร์นลี่ย์ ทีมบนเวทีแชมเปี้ยนชิพในปี 2015 เขาเข้าใกล้ปลายทางลีกสูงสุดของอังกฤษอีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น และมันเป็นเขาที่ช่วยให้เบิร์นลี่ย์เลื่อนชั้นขึ้นมาจริง ๆ ในฤดูกาลต่อมา ถึงตอนนี้เขากลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่มีชื่อเสียงพอตัว เมื่อมองย้อนไปว่าเริ่มต้นเรื่องราวอย่างไร้อนาคตที่ดีจนได้ย้ายมาอยู่กับวัตฟอร์ดที่เป็นสโมสรล่าสุด

ก่อนเริ่มฤดูกาล 2017 อังเดร เกรย์ นักฟุตบอลวัย 27 แห่งทีมวัตฟอร์ดมีเรื่องให้ฮือฮา เมื่อเขามีรอยสักใหม่เต็มแผ่นหลังมาอวด มันเป็นรูปที่เขาใช้เวลาแปดเกือบเก้าชั่วโมงในการทนให้ช่างบรรจงวาดสิ่งที่เขายกย่องลงไป เรื่องราวของคนและกลุ่มคนที่เป็นนักต่อสู้เรียกร้องสิทธิพลเมืองแอฟริกัน-อเมริกันที่มีชื่อเสียงจำนวนสิบคนซึ่งถูกยกย่องไปทั่วโลก อาทิ เนลสัน เมนเดลล่า ประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้, มูฮัมหมัด อาลี ยอดนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวท, โรซ่า ปาร์กเกอร์ ผู้ไม่ยอมถูกย้ายที่นั่งบนเครื่องบินเพียงเพื่อให้คนผิวขาวได้ที่นั่งเธอไป, บ็อบ มาร์เล่ย์ ราชาเพลงเร็กเก้ชาวจาไมก้า หรือมาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์ นักพูดและนักเรียกร้องความยุติธรรมให้คนผิวสีชาวอเมริกัน ตัวบุคคลและเรื่องราวถูกนำภาพมาจัดวางไว้บนแผ่นหลังของนักเตะชาวเมืองผู้ดีรายนี้

“การรณรงค์เคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมืองเป็นบางอย่างที่ผมสนใจมากที่สุด” เกรย์เริ่มต้นเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมันหลังถูกไล่ตามสัมภาษณ์แทบในทันทีที่เขาเผยภาพออกมา เกรย์เล่าว่ามันเริ่มต้นเมื่อสามปีที่แล้วตอนเขาอายุ 23 ปี เขาได้มีโอกาสอ่านเรื่องราวเหล่านี้และเห็นผ่านตาทางทีวี พอเริ่มต้นตามหาอ่านเรื่องราวของหนึ่งคน มันก็นำไปสู่อีกคนและอีกคน

ในบรรดาคนดังที่อยู่บนหลัง อังเดร เกรย์เลือกมาร์คัส การ์วีย์เป็นที่สุดของความยกย่อง ชายผู้เป็นกลจักรสำคัญของการต่อสู้ปฏิวัติเพื่อทวงคืนอิสรภาพของทาสผิวดำและแรงงานอพยพทั้งหลายบนแผ่นดินจาไมก้า รวมไปถึงทุกพื้นที่ทั่วโลก การ์วีย์เติบโตมาด้วยการเห็นทุกข์ยากของคนนิโกรและแรงงานอพยพที่ถูกปกครองแบบไม่เป็นธรรมจากนายจ้างชาวยุโรป

หลังมีโอกาสได้ทำงานและเดินทางไปทั่วทั้งในอเมริกาใต้ อังกฤษและอเมริกา อังเดร การ์วีย์มีโอกาสเลือกชีวิตที่ยืนฝั่งเดียวกันกับคนผิวขาว แต่การได้พบปะคนดำมากมายที่มีแนวคิดเดียวกันคือการคืนความเท่าเทียมกันของมนุษย์จากคนขาวสู่คนดำทั้งหลาย สุดท้ายเขาตัดสินใจเลือกที่จะอยู่ข้างคนผิวดำเหมือนกัน ทำให้ต่อมาเขาได้ก่อตั้งสองสิ่งที่สำคัญมากในการใช้เป็นเครื่องมือดำเนินการสู่เป้าหมายเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียม นั่นคือสมาคม UNIA (Universal Negro Improvement Association) ซึ่งมีแนวคิดพาคนดำกลับสู่แอฟริกาถิ่นฐานบ้านเกิด และสองคือการก่อตั้งหนังสือพิมพ์นิโกร เวิร์ลด์ที่ใช้เป็นกระบอกเสียงสำหรับคนดำ คนแอฟริกันและแรงงานอพยพทั้งหมาย สุดท้ายแม้จะไม่สามารถทำได้สำเร็จ แต่มาร์วีย์ก็สามารถเพาะเมล็ดพันธุ์ในการเรียกร้องสิทธิของชาวผิวดำให้เป็นอุดมการณ์และแนวทางของอีกหลายสิบล้านคน

ตลอดช่วงซัมเมอร์ของปี 2017 ความสนใจทั้งหมดของอังเดร เกรย์มุ่งไปที่การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการปฏิวัติเรียกร้องสิทธิพลเมืองมากกว่าเรื่องย้ายทีมเสียอีก เขาอ่านหนังสือจำนวนมาก ดูสารคดีเกี่ยวกับคนเหล่านี้ แถมยังเดินทางไปเยือนพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ต่าง ๆ มันซึมซับและกลายเป็นส่วนสำคัญในการมองชีวิตของเขามากขึ้น

นาตาชา ไค สาวลายสักหัวใจนักสู้แห่งท้องทะเล

บรรดาเซเลบสาววงการกีฬาไม่น่าจะมีใครที่สะสมรอยสักมากเท่านาตาชา ไคอีกแล้ว เพราะในขณะที่สาวนักกีฬาคนอื่น ๆ (เว้นบรรดานักสู้ UFC และ MMA) มีรอยสักเสมือนเป็นเครื่องประดับ แต่นาตาชาสักรอยบนร่างกายของเธอด้วยความศรัทธา

นาตาชา ไค เกิดในปี 1983 ที่ฮาวาย รัฐกลางมหาสมุทรแปซิฟิคของสหรัฐอเมริกา ว่ากันว่าชาวฮาวายสืบเชื้อสายมาจากชนชาวโพลีนิเชี่ยน นักเดินทะเลที่ยิ่งใหญ่จากหมู่เกาะทะเลใต้ ดังนั้นศิลปะและวัฒนธรรมเกี่ยวกับชาวโพลีนิเชี่ยนและชาวฮาวายจึงคล้ายคลึงกันมาก ลวดลายรูปคลื่นและเรื่องราวเกี่ยวกับทะเลถูกวาดลงบนแขนขวาของนาตาตั้งแต่ข้อมือขึ้นไปถึงหัวไหล่ และตั้งแต่สะโพกลงไปจนตลอดขาขวาด้วย มันมีความเป็นสัญลักษณ์แบบชาวเกาะฮาวาย ริ้วคลื่น ใบไม้ ทางมะพร้าว รวมไปถึงดอกชบา ดอกไม้สัญลักษณ์ของชาวฮาวายถูกบรรจงรังสรรค์ไว้อย่างสวยงาม

ตอนอายุ 5 ขวบ นาตาชาเจออุบัติเหตุใหญ่ ชิ้นแก้วที่แตกเสียบที่เท้า มันร้ายแรงขนาดที่หมอวินิจฉัยว่าเธออาจจะวิ่งไม่ได้ แต่ที่สุดเธอก็ฟื้นตัวกลับมาอย่างแข็งแกร่ง การเติบโตในฐานะนักกีฬาฟุตบอลอาชีพและติดทีมชาติเป็นไปไม่ได้เลยหากอยู่ที่ฮาวาย นั่นคือสิ่งที่นาตาชาคิด เมื่อจำเป็นต้องเลือกนาตาชาจึงออกเดินทางมาสู่แผ่นดินใหญ่ โดยมีโปรไฟล์ผลงานที่ดีระหว่างเล่นทีมมหาวิทยาลัยแห่งรัฐฮาวาย

การอยู่ห่างไกลบ้านเกิดทำให้เธอต้องหาสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แผ่นหลังของนาตาชามีเต่าทะเลในรูปแบบศิลปะฮาวาย และบนหลังเท้าขวาก็มีแผนที่รัฐฮาวายบ้านเกิด ในไม่ช้านาตาชาก็เพิ่มรอยสักลงไปอีก เธอสักชื่อไคไว้ที่ด้านหลัง สัญลักษณ์ราศีเมถุนที่เป็นราศีเกิดบนหัวไหล่ซ้าย ที่สีข้างด้านขวานาตาชาสักเนื้อเพลงที่เธอแต่งด้วยตัวเอง มันบรรยายว่า “ในช่วงเวลาอันน่าชื่นชม สมบัติลล้ำค้าที่สุดในโลกคือหัวใจของฉัน และฉันแบ่งปันมันให้กับคุณ จงปกป้องมันราวกับเป็นหัวใจคุณเอง” ซึ่งไคอธิบายว่ามันช่วยให้เธอจดจำว่าตัวเองเป็นคนที่แข็งแกร่ง เธอต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง แล้วคนรอบข้างก็จะรู้เองว่าเธอแข็งแกร่งและเป็นคนดี บนตัวของนาตาชามีรอยสักรวมแล้วมากกว่า 60 ชิ้นซึ่งมันทำให้เธอดูโดดเด่นและแตกต่างท่ามกลางนักกีฬารายอื่นโดยตลอดเวลาที่ลงแข่งขัน

การต้องต่อสู้ไกลบ้านต้องใช้หัวจิตหัวใจที่แข็งแกร่ง นาตาชาสู้กับคำดูถูกเรื่องการเป็นสาวบ้านนอก แต่เธอก็ค่อย ๆ สร้างผลงานและติดทีมชาติสหรัฐ กลายเป็นนักกีฬาฟุตบอลหญิงคนแรกจากรัฐห่างไกลอย่างฮาวาย ที่ได้รับเลือกเข้าทีมฟุตบอลหญิงชุดใหญ่ของประเทศ

เรื่องสำคัญหนึ่งอย่างเกี่ยวกับการเป็นนักเตะทีมชาติ คือการที่เธอไม่เคยเกี่ยวข้องใด ๆ กับสารบบทีมชาติมาก่อน โอกาสเดียวที่เธอได้สัมผัสคือการเข้าแคมป์เก็บตัวนักกีฬาชุดอายุไม่เกิน 21 ปี ในปี 2004 แตกต่างจากเพื่อนร่วมทีมรายอื่น ๆ ที่โตมาในระบบที่คุ้นเคยตั้งแต่ยังเป็นเยาวชนทั้งนั้น นาตาชา ไคผลักดันตัวเองจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในทีมชาติชุดนั้น ก่อนที่จะตามมาด้วยการสร้างผลงานยิง 12 ลูกจาก 6 เกม แต่มันก็ไม่ง่ายสำหรับการไต่สูงขึ้นไป เมื่อนาตาชาต้องใช้เวลาอีกถึง 2 ปีบนเวทีลูกหนังก่อนถูกเรียกขึ้นทีมชาติชุดใหญ่ รวมไปถึงการคว้าเหรียญทองโอลิปิกเกมส์ที่ปักกิ่งในปี 2008 ได้

แต่การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนาตาชา ไค ไม่ใช่เกมลูกหนัง หากแต่มันคือการลุกขึ้นมายอมรับว่าตัวเธอเป็นกลุ่มหญิงรักหญิง แม้ทั้งหมดจะมีจุดเริ่มต้นจากการหลุดคำสัมภาษณ์ให้กับเว็บไซต์ข่าวช่องหนึ่งก็ตามว่าเธอต้องเลิกกับแฟนสาวเพื่อเดินทางต่อไปบนถนนลูกหนังสายอาชีพ ยังโชคดีที่นาตาชาไม่ใช่เพียงผู้เล่นรายเดียวที่ประกาศตัวเป็นเลสเบี้ยนในปีนั้น เมื่อมีผู้เล่นทีมชาติสหรัฐอีกสองรายที่เผยว่าเป็นกลุ่มรักร่วมเพศเช่นกัน ทำให้เธอก้าวผ่านช่วงเวลานั้นได้

หลังปี 2009 การคว้าเหรียญทองโอลิมปิกและได้แชมป์ลีกฟุตบอลหญิงของประเทศ ประกอบกับอาการบาดเจ็บแล้วบาดเจ็บอีก นาตาชาในวัย 27 ปีเลือกกลับมาใช้ชีวิตที่ฮาวาย หลังจากที่รู้สึกถึงจุดอิ่มตัวแล้วในการเล่นฟุตบอล ที่เกาะฮาวายบ้านเกิด นาตาชามีเวลาพักผ่อน ใช้ชีวิตแบบห่างไกลจากกลิ่นลูกหนัง และได้เฝ้าดูแลคุณพ่อที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หากแต่คำขอร้องที่อยากเห็นลูกสาวกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งทำให้นาตาชารู้สึกสับสน ก่อนที่จะตัดสินใจเริ่มต้นเข้าฟิตเนสหลังการจากไปของพ่อในปี 2014 เธอทุ่มเทอย่างบ้าคลั่งในการฟิตซ้อมตัวเองสลับกับการจมอยู่ในความเศร้าจากการสูญเสีย จนที่สุดก็พร้อมจะลงเล่นให้บลู สกาย สโมสรแรกที่เธอเริ่มต้นเล่นฟุตบอล

มีนาคม 2016 นาตาชา ไตลงเล่นฟุตบอลอาชีพอีกครั้งในฐานะนักกีฬาของสโมสรบลู สกายท่ามกลางคนดูแค่ราว 500 คน นาตาชายิงประตูได้ติดต่อกันหลายเกม สัญชาตญาณนักล่ากลับมาสู้ตัวเธอ แต่เหนืออื่นใดเธอหัวเราะกับมันหลังจากใช้ชีวิตอย่างหม่นหมองมานาน ในวันที่เธอกลับมาลงเล่นอีกครั้ง บรรดาเพื่อนเก่าแก่ในวงการฟุตบอลต่างรีบทวีตส่งต่อข่าวนี้อย่างตื่นเต้น